วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเล่นเกมส์

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเล่นเกมส์
               อ่านพบพระสูตรหนึ่งในคัมภีร์สังยุตนิกาย สคาถวรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสูตรนี้มีชื่อว่า อาฬวกสูตร”  ทำให้เห็นชีวิตอีกมุมหนึ่งของพระพุทธเจ้าว่า  บางครั้งพระองค์ก็ทรงลงทุน เล่น

               ใช้คำว่า เล่นหลายท่านอาจรู้จะรู้สึกขัด ๆ 
               จริง ๆ แล้ว การที่ทรง เล่นอย่างนี้ ก็เป็น ลีลาอย่างหนึ่งในการแสดงธรรม ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์
               เช่น กรณีของของการแสดงธรรมโปรดอาฬวกยักษ์
               เรื่องมีอยู่ว่า
              วันหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปที่เมืองอาฬวี ขณะที่ทรงประทับอยู่นั้น อาฬวกยักษ์ได้เข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ
               พอไปถึงร้องเรียกให้พระพุทธเจ้าเสด็จออกมาด้วยถ้อยคำว่า ท่านสมณะ ท่านจงออกมา
               พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า ดีเนาะ ท่านแล้วก็ทรงออกมาตามคำเรียกร้อง
              พอพระพุทธเจ้าเสด็จออกมา อาฬวกยักษ์ก็ออกคำสั่งให้พระพุทธเจ้าเข้าไปคืน
               พระพุทธเจ้าไม่ทรงว่าอะไร ตรัสแต่เพียงว่า ดีเนาะ ท่านจากนั้นก็ทรงเข้าไปตามคำสั่งของอาฬวกยักษ์


               พอพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไป อาฬวกยักษ์ก็เรียกให้พระพุทธเจ้าเสด็จออกมา พอพระพุทธเจ้าเสด็จออกมา ก็สั่งให้พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปอีก
               พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรอื่น นอกจากคำว่า ดีเนาะ ท่านแล้วก็ทรงเข้า ๆ ออก ๆ ตามคำสั่งของอาฬวกยักษ์ ซึ่งสั่งไปสั่งมาถึง ๓ ครั้ง
               กระทั่งครั้งที่ ๔ อาฬวกยักษ์สั่งให้พระพุทธเจ้าออกมา แต่ครั้งนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงออกมา
               นอกจากจะไม่ทรงออกมาแล้ว ยังทรงตรัสท้าทายอาฬวกยักษ์ว่า ไม่ออกไป มีอะไรไหม ?”
               อาฬวกยักษ์ได้ยินคำท้าทายเช่นนี้ก็สวนไปว่า ถ้าไม่ออกมา จะถามปัญหา และถ้าถามแล้วไม่ตอบ จะจับฉีกร่างโยนลงแม่น้ำคงคา
               พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า เอาเลย ! ถ้าทำได้  เพราะเราเองก็ยังมองไม่เห็นว่ามีใครในโลกนี้ หรือโลกไหน ๆ จะทำเช่นนั้นได้
               อาฬวกยักษ์ได้ทีจึงถามปัญหาออกไปว่า

๑.  อะไรคือทรัพย์เครื่องปลื้มใจที่ประเสริฐที่สุดของมนุษย์ ?
๒. มนุษย์ทำอะไรจึงจะมีความสุข ?
๓. รสอะไรเลิศที่สุดในบรรดารสทั้งหลาย ?
๔. อยู่แบบไหน ปราชญ์ชื่นชมว่าประเสริฐสูงสุด ?
              ถามรวดเดียว ๔ ข้อ พระพุทธเจ้าก็ทรงเฉลยรวดเดียวเช่นกันว่า
๑.  ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจที่ประเสริฐที่สุดของมนุษย์


๒. มนุษย์ทำความดีจึงจะมีความสุข
๓. ความสัจจริงมีรสล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย
๔. อยู่ด้วยปัญญา ปราชญ์ชื่นชมว่าประเสริฐสูงสุด
จบคำตรัสตอบของพระพุทธเจ้า อาฬวกยักษ์ยิงคำถามต่อไปอีกว่า
๑.  มนุษย์ข้ามโอฆะได้อย่างไร ?
๒. มนุษย์ข้ามห้วงน้ำได้อย่างไร ?
๓. มนุษย์ล่วงจากความทุกข์ได้อย่างไร  ?
พระพุทธเจ้าทรงเฉลยดังนี้
๑.  มนุษย์ข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา
๒. มนุษย์ข้ามห้วงน้ำได้ด้วยความไม่ประมาท
๓. มนุษย์ล่วงจากความทุกข์ได้เพราะความเพียร
               จบพระดำรัสตอบของพระพุทธเจ้า อาฬวกยักษ์ก็ถามต่อไปอีกว่า

๑.  ทำอย่างไรจึงจะมีปัญญา ?


๒. ทำอย่างไรจึงจะมีทรัพย์ ?
๓. ทำอย่างไรจึงจะมีเกียรติ ?
๔. ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้ ?
๕. ทำอย่างไรละโลกนี้ไปแล้วจึงจะไม่เศร้าโศก ?
ต่อคำถามนี้ พระพุทธเจ้าทรงเฉลยว่า
๑.  ต้องเชื่อมั่นในพระศรัทธรรม ไม่ประมาท มีความรอบคอบ รู้จักฟัง จึงจะได้ปัญญา
๒. ต้องรู้จักจัดแจงการงานให้ดี ไม่ทอดทิ้งธุระหน้าที่ ขยันหมั่นเพียร จึงจะมีทรัพย์
๓. ต้องซื่อสัตย์สุจริต จึงจะมีเกียรติ
๔. ต้องรู้จักให้ จึงจะผูกมิตรไว้ได้
๕. แม้เป็นฆราวาส หากประกอบด้วย สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ ละโลกนี้ไปแล้วก็จะไม่เศร้าโศก
               อาฬวกยักษ์ได้ยินพระดำรัสตอบของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้น ได้เอ่ยปากชมว่า พระวาจาของพระพุทธองค์เป็นประโยชน์ยิ่งนัก ข้าพเจ้ามัวเสียเวลาเดินเที่ยวถามสมณพราหมณ์ต่าง ๆ อยู่หลายเที่ยว วันนี้ชัดเจนแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ขอนับถือพระองค์เป็นสรณะ
               พระสูตรนี้จบลงห้วน ๆ แบบนี้
               แม้จะห้วน ๆ แต่ถ้าลองกลับไปทบทวนคำถาม และคำตอบข้างต้นอีกสักรอบจะเห็นจะเห็นความงดงามของพระธรรมที่ทรงแสดงในครั้งนี้
 นมัสการค่ะท่าน...
ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกค่ะ...
นำไปสอดแทรกในการสอนได้...
ว่างเมื่อไรนิมนต์ที่บ้านด้วยนะคะ..
บางทีชีวิต...ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า    ความทรงจำดีๆ เอาไว้ให้คิดถึง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น