วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความทุกข์จากการเกิดของทุกชีวิต

ชาติปิทุกขา ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเทศนาถึงกองทุกข์ต่างๆ ดังที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ คัมภีร์   สารัตถสมุจจัยตอนอธิบายเรื่อง ธัมมจักกัปปวัตนสูตร (หน้า ๗๘ - ๘๐ )

สรุปได้ว่า            
ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดานั้น ทารกต้องประสบทุกข์อันเกิดจากสถานที่ที่อาศัย คือความคับแคบของมดลูก ทำให้ทารกต้องอยู่ในท่านั่งยองๆ หันหลังให้กับหน้าท้อง หันหน้าเข้าสู่กระดูกสันหลังของมารดา นั่งทับอาหารเก่า (ลำไส้ใหญ่) ไว้ และทูนอาหารใหม่ของมารดา (ลำไส้เล็ก) ไว้เบื้องบนศีรษะ สองมือกอดเข่าเสมือนหนึ่งวานรนั่งอยู่ในโพรงไม้ยามฝนตก ทั้งยังมีพังผืด คือถุงน้ำคร่ำและรกห่อหุ้มกายทำให้ไม่สามารถเหยียดแขนขาออกไปได้ เมื่อยแสนเมื่อยก็ขยับได้แต่เพียงเล็กน้อยพอให้แม่รู้สึกตัวว่าลูกดิ้น ซึ่งยังความดีใจให้กับมารดาโดยหารู้ไม่ว่า ขณะนั้นลูกรักกำลังเกิดทุกขเวทนาอย่างเหลือล้น และจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้นไปอีกตราบนานเท่านานที่ต้องอยู่ในครรภ์มารดาอันตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอสุภะนั้น ความร้อนอันเกิดจากเตโชธาตุของมารดาที่มีอยู่ตลอดเวลาเป็นประดุจไฟที่คอยเผาทารกน้อยให้ร้อนทุรนทุราย พิจารณาดูแล้วไม่ต่างไปจากก้อนเนื้อที่ถูกนึ่งอยู่ในหม้อ ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส จัดได้ว่าไม่ต่างไปจากขุมนรกที่มืดมนอนธกาลเท่าใดนัก….นี่คือ ทุกข์ที่ชีวิตพึงได้รับเป็นปฐมจากการที่ต้องอุบัติขึ้นในครรภ์มารดา ชาติทุกข์เช่นนี้มีชื่อว่า คัพโภกันติกมูลกทุกข์

                              ….ยามใดที่มารดาเคลื่อนไหวเดินไปเดินมา หรือจะลุกนั่งกายของทารกนั้นย่อมถูกซัดไปซัดมาซัดขึ้นและซัดลง ไม่สามารถตั้งตรงอยู่ได้ ยังทารกนั้นเสวยทุกขเวทนา ยิ่งมารดาพลาดตกหกล้ม ก็ยิ่งสร้างความสะดุ้งตกใจหวาดหวั่นพรั่นพรึงทั่วสรรพางค์กาย ประดุจลูกทรายอ่อนที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของนักเลงสุรา หรือมิฉะนั้นก็ประดุจงูตัวน้อยที่ต้องตกอยู่ในมือหมองู ยิ่งยามใดที่มารดาดื่มน้ำเย็นจัดเข้าไปทารกก็จะรู้สึกเยือกเย็นสยดสยอง ยามมารดากินของร้อนย่อมยังผลให้ทารกนั้นต้องดิ้นรนประดุจมีห่าฝนอันเป็นถ่านเพลิงมาราดอยู่บนศีรษะ และยามที่มารดารับประทานอาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเข้าไปก็ยิ่งเพิ่มความปวดแสบปวดร้อนไปทั่วสรรพางค์กาย ประดุจถูกแล่เนื้อเอาเกลือทาก็ปานนั้น ทุกขเวทนาที่เกิดจากการบริหารของมารดาเช่นนี้เรียกว่า คัพภปริหารมูลกทุกข์ จัดเป็นทุกข์คำรบสองที่ทารกต้องประสบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
                              …..ยามที่ทารกนั้นเกิดนอนขวางอยู่ในครรภ์มารดา ไม่สามารถคลอดออกมาได้ นายแพทย์ต้องจัดท่าเพื่อจับเท้าดึงทารกออกมาให้ได้ทุกข์อันแสนสาหัสที่เกิดขึ้นจากการกระทำให้ทารกได้รับความเดือดร้อนเช่นนี้เรียกว่า คัพภวิปปัตติมูลกทุกข์ จัดเป็นทุกข์คำรบสามที่ทารกต้องประสบ
                              …..เมื่อมีลมกัมมัชวาตพัดกลับให้ทารกกลับตัวเอาหัวลง ในอย่างน่าสะพึงกลัว เพราะอาการไม่ต่างไปจากบุคคลที่ถูกผลักอย่างแรงให้ตกลงสู่เหวลึก และยิ่งขณะที่คลอดผ่านออกทางช่องคลอดที่มีลักษณะเป็นท่อที่แคบๆ นั้น ยิ่งก่อให้เกิดทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสประดุจช้างสารที่ถูกดันออกจากช่องดาน หรือช่องประตูที่แคบ ดูประดุจสัตว์ในสังฆาตะนรกที่ถูกภูเขาบีบให้แหลกเป็นจุณ ทุกข์เช่นนี้เรียกว่า คัพภชายิกมูลกทุกข์ อันเป็นทุกข์คำรบสี่ที่ทารกต้องประสบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
                              ….แม้เมื่อทารกคลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว มีบุคคลอื่นมารับไปอาบล้างขัดสีสิ่งสกปรกออกไป ผิวอันบอบบางที่เต็มไปด้วยกายประสาทและยังไม่เคยถูกต้องสัมผัสมาก่อน ย่อมเกิดความรู้สึกในความแข็งที่มากระทบ ดูไม่ต่างไปจากถูกทิ่งแทงด้วยปลายเข็ม หรือถูกเชือดเฉือนด้วยมีดอันคม ก่อให้เกิดความเจ็บปวดไปทั่วสรรพ์กาย เสียงร้องของทารกที่ยังให้เกิดความดีอกดีใจแก่ญาติมิตร โดยหารู้ไม่ว่า ขณะนั้นทารกกำลังประสบทุกข์อย่างมหันต์ เป็นทุกข์ที่เรียกว่า คัพภนิกขมนมูลกทุกข์ จัดเป็นทุกข์คำรบห้าที่ทารกต้องประสบจากการเกิด

แหล่งที่มา : หนังสือ "ใครให้คุณเกิด" โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร 

ความเชื่อเรื่องประเพณีและพิธีกรรมการเกิด

ในปัจจุบันนี้ การคลอดมักทำกันที่โรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ ข้อดีคือมีหมอและพยาบาลคอยช่วยกันดูแล 
อาการ ช่วยทำการคลอด ตลอดจนดูแลทารกและคุณแม่หลังคลอด อย่างไรก็ตามการคลอดแบบไทยหรือแบบพื้นบ้านนั้น ก็มีขั้นตอนและกรรมวิธีต่าง ๆ การคลอดดูแลทารกและคุณแม่หลังคลอด ให้เป็นไปได้ด้วยดี เช่น เดียวกันกับการแพทย์สมัยใหม่ 
การคลอดแบบไทย 
           หมอตำแยจะเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญมากในการคลอดแบบไทยเมื่อเริ่มมีอาการปวดท้องใกล้คลอดญาติ จะ รีบไปเชิญหมอตำแยมาที่บ้าน พอมาถึงหมอจะนำเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เตรียมมาด้วยไปต้มน้ำ พร้อมล้างมือทำความสะอาดเรียบร้อย หมอจะประคับประคองท้องแม่และกล่อมมดลูก ด้วยการแซะข้างท้อง คลึงท้องให้ปากมดลูกขยับมาตรงกับปากช่องคลอด แล้วจึงจะข่มท้องให้คลอด 
หลังจากการคลอด หมอจะดูแลทารกก่อน โดยจะล้วงปาก ควักเมือก และช่วยให้หายใจ จนเมื่อทารกปลอด 
ภัยดีแล้วจึงทำการตัดสายสะดือ อาบน้ำให้ทารก เพื่อทำความสะอาดล้างคราบเลือดและไขที่ติดตัวอยู่ บางครั้งจะใช้น้ำมันมะพร้าวทาตัวเพื่อช่วยให้ไขลอก ทำความสะอาดตัวเรียบร้อยแล้ว จึงนำทารกไปวางบนที่นอนที่จัดเตรียมไว้เมื่อดูแลทารกเรียบร้อยหมดแล้วหมอจะมาดูแลแม่ โดยจะคลึงและแซะข้างท้องตะล่อมช่วยให้รกออกมาจากท้องแม่ 
"ขณะที่เด็กคลอดออกมานั้น ถ้ามีรกตามออกมาพร้อมเด็ก จะเรียกว่า "" รกตามดี" "หลังจากที่ตัดสายสะดือเสร็จ" เรียบร้อย หมอจะนำรกและส่วนต่าง ๆ ที่ติดมาด้วยไปล้างน้ำทำความสะอาด แล้วใส่ไว้ในหม้อทะนน หม้อตาลหรือกระบอกไม้ไผ่โรยเกลือให้ท่วมแล้วนำไปฝั่งดินในกรณีที่เด็กคลอด แล้วรกไม่ออกมาพร้อมกัน หลังตัดสายสะดือแล้วหมอจะเอาปลายสายสะดือที่ติดกับรกซึ่งอยู่ในท้องแม่ ผูกกับขาซ้ายของแม่ เพราะถ้าไม่ผูกเอาไว้สายสะดืออาจจะหลุดกลับเข้า 
"ไปในท้องแม่ ( เรียกว่า "" รกบิน "" ) ซึ่งจะทำให้เอาออกได้ยาก และ อาจเกิดอันตรายกับแม่ได้" 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการคลอด 
*** การคลอดท้องแรก ( ท้องสาว ) มักใช้เวลานานกว่าการคลอดของคนที่เคยมีบุตรแล้ว 
*** ก่อนคลอดต้องปวดท้อง เนื่องจากมดลูกมีการบีบหดตัวให้หัวเด็กกลับหัวลงมาทางปากมดลูกเพื่อคลอด 
*** หลังจากที่ทารกคลอดออกมาแล้ว รก (Placenta) จะตามออกมา รกจะออกมาหลังคลอดพอดี หรือหลังคลอด 20 ถึง 30 นาทีก็ได้ 

วิธีการอาบน้ำและดูแลทารกหลังคลอด 
ในการอาบน้ำให้กับเด็กทารกแรกเกิดนั้น หมอจะนั่งกับพื้น เหยียดขาทั้งสองข้างออกไป นำทารกมาวางบน ขาโดยให้หัวทารกอยู่ทางปลายเท้าและขาอยู่ที่ต้นขาของหมอ แล้วค่อย ๆ วักน้ำอุ่นอาบล้างตัว ระหว่างที่อาบหมอต้อง - ระวังไม่ให้สายสะดือเปียกน้ำ ถ้าทารกที่คลอดมาขาขด บิดเบี้ยวเล็กน้อย หมอจะบีบขาให้ชิดกันเพื่อดัดให้ตรง แม่ในชนบทยังคงใช้วิธีอาบแบบนี้อาบให้ลูกไปจนโต หลังจากตัดสายสะดือและอาบน้ำทารกเรียบร้อยแล้ว หมอจะนำทารกไปวางบนเบาะที่ปูผ้าอ้อมรองไว้ ใช้ผ้า อ้อมอีกผืนปิดที่หน้าอกของทารก หมอจะยกเบาะไปให้ใส่กระด้ง แล้วยกกระด้งขึ้นร่อนเวียนไปทางขวา 3 รอบ พร้อม "กับพูดว่า "" สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ใครมารับเอาเน้อ " "ญาติผู้ใหญ่จะรับไว้และรับสมอ้างว่าทารกเป็นลูกของตน แล้ว" ส่งกระด้งกลับคืนไปให้หมอ หมอจะทำตามเดิมอีกจนครบ 3 รอบ เสร็จแล้วจึงอุ้มเด็กไปวางบนพื้น ให้ญาตินำด้ายหลอด สมุด ดินสอ หรือ ก้อนหิน มาใส่ในกระด้ง เพื่อเป็นเคล็ดให้เด็กโตขึ้น จะได้ฉลาด อ่านเขียนเรียนหนังสือเก่ง ต่อจากนั้น ญาติและพ่อแม่เด็กจะนำสุ่มจับปลาขนาดใหญ่มาครอบเด็ก ใช้ผ้าขาวคลุมไม่ให้ใครมาเอาชีวิตเด็กไปได้ ถ้าไม่มีสุ่มอาจจะใช้ผ้านุ่งมาจีบโดยผู้ปลายผ้าไว้ข้างหนึ่งแล้วนำไปแขวนกับขื่อกางชายผ้าอีกด้านหนึ่งออกเป็น - "กระโจม นำมาครอบทารกไว้ คนโบราณเรียกวิธีนี้ว่า "" การครอบกระโจม "" ซึ่งจะช่วยป้องกันลมและกันยุง เมื่อทารกอยู่" ในสุ่มจนครบกำหนดแล้ว ( 3 - 7 วัน ) จึงนำเด็กขึ้นนอนเปล กรณีที่หลังคลอดแล้วแม่ยังไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ระหว่างที่รอให้แม่มีน้ำนม ถ้าทารกเกิดหิว แม่จะให้กินน้ำผึ้ง ผสมกับน้ำอุ่นๆซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เด็กมีน้ำเสียงไพเราะเมื่อโตขึ้นบางแห่งก็จะขูดกล้วยน้ำหว้าผสมกับน้ำผึ้งเพื่อ ป้อนให้ ทารกกินระหว่างรอน้ำนม เมื่อแม่มีน้ำนมแล้วจึงให้ลูกดูดกินนมแม่ต่อไป เมื่อเด็กโตขึ้นพอสมควร แม่จะใช้ข้าวบดและกล้วยย่างขูด เป็นอาหารเสริมให้เด็กด้วย 
การฝังรก 
                การฝังรกเป็นเคล็ดที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณว่า เมื่อฝังแล้วจะทำให้เด็กไม่ลืมรกรากของตนเอง พิธีฝังรก ซึ่งนิยมทำกันในแต่ละภาคนั้น จะมีลักษณะแตกต่างกันแต่ส่วนมากมักฝังหลังจากเด็กเกิดครบ 3 วัน หรือ 7 วัน การฝังจะฝังตามทิศและตามวันเกิดของเด็ก ในบางท้องถิ่นนิยมฝังรกไว้ในบ้าน โดยส่วนมากพ่อแม่จะฝังรกในเวลาที่ปลอดคน เช่น ตอนเช้าหรือตอนเย็นโพล้เพล้ เพราะไม่ต้องการให้มีใคร ทักถาม บางท้องถิ่นจะฝังรกในที่ดินซึ่งพ่อแม่จะยกให้เด็กต่อหน้าญาติ ๆ เพื่อให้เป็นพยานรับรู้ ในภาคใต้มีการปลูกมะพร้าวไว้ในบริเวณที่ฝั่งรก เพื่อจะได้ใช้ผลของมะพร้าวไว้ทำยาแก้คุณไสย์ และแก้พิษให้เด็กเมื่อโตขึ้น ในปัจจุบัน ผู้หญิงนิยมไปคลอดในโรงพยาบาล จึงแทบไม่มีการทำพิธีอีกต่อไปผู้เฒ่าผู้แก่มักจะพูดเสมอว่า เด็กสมัยนี้ลืมรกรากของตน ไม่กลับถิ่นกำเนิด และยังมีการย้ายถิ่นย้ายบ้านกันเรื่อยไป

ลักษณะน้ำนมแม่ 
คัมภีร์ประถมจินดาอธิบายถึงวิธีดูลักษณะน้ำนมแม่ที่จะใช้เลี้ยงเด็กไว้ว่า ให้ทดสอบน้ำนมแม่โดยนำไปหยด 
ลงในขันที่ใส่น้ำไว้ เมื่อพิจารณาลักษณะการจม และ กระจายตัวของหยดน้ำนมจะแบ่งน้ำนมออกได้เป็น 2ประเภท คือ 
1. น้ำนมดีถือเป็นน้ำนมที่ใช้เลี้ยงทารกแล้วทำให้ทารกดีน้ำนมชั้นเอกดีที่สุดต้องมีสีขาวเมื่อหยดลงในน้ำแล้วจะ จมลง โดยยังเกาะกันเหมือนเม็ดบัวส่วนน้ำนมชั้นรองเมื่อหยดในน้ำแล้วนมจะกระจายแต่ข้นจมถึงก้นขันจะ ไม่เกาะ กันกลม 
2. น้ำนมชั่วหรือน้ำนมมีมลทิน ถือเป็นน้ำนมที่ไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก คือ น้ำนมที่มาจากแม่ที่มีระดูขัดเสมอๆ น้ำนมที่มาจากแม่ที่อยู่ไฟไม่ได้(ถือว่าป็นน้ำนมดิบ)และน้ำนมแม่ที่หยดลงในน้ำแล้วมีเลือดและน้ำเหลืองกระจาย ออกเป็นสาย

วัฒนธรรมและความเชื่อเรื่องการปลูกเรือน

การจะสร้างบ้านสักหลังหนึ่งนั้น ขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งนั้นที่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ในบ้านเราให้ความสำคัญกันมาก ก็คือขั้นตอนของพิธียกเสาเอก โดยเจ้าของบ้านส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า การทำพิธียกเสาเอกจะทำให้งานก่อสร้างมีความราบรื่นไม่มีปัญหาและอุปสรรคและ เมื่อได้เข้าอยู่บ้านหลังที่สร้างแล้วจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งเป็นความเชื่อและเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดกันมา และจากประสบการณ์การก่อสร้างบ้านของผู้เขียนเองที่ผ่านมาเป็นสิบปีก็พบว่าบ้านทุกหลังที่มีการก่อสร้าง มักจะทำพิธียกเสาเอกเพื่อเป็นสิริมงคลต่อการอยู่อาศัย
แต่พิธีการ และขั้นตอนอาจแตกต่างกันในรายละเอียด บ้านบางหลังจะทำพิธียกเสาเอก โดยพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ บางหลังทำพิธีโดยพราหมณ์ และบางหลังทำพิธีโดยผู้ใหญ่หรือบุคคลที่เคารพนับถือ ดังนั้นหากท่านกำลังจะสร้างบ้าน โดยเลือกแบบบ้านและบริษัทรับสร้างบ้านที่มีคุณภาพแล้ว ก่อนที่ท่านลงมือก่อสร้างถ้าท่านเชื่อเรื่องโชคลาง ก็คงจะเตรียมหาฤกษ์หาเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นในการสร้างบ้าน แม้จะดูเหมือนหลงงมงายแต่ถ้าทำแล้วเกิดความสบายใจ และไม่เดือดร้อนใคร ก็น่าจะเตรียมให้พร้อมก่อนลงมือก่อสร้าง แต่ทั้งนี้ต้องดูความสะดวกความเหมาะสม ของการก่อสร้างร่วมกับบริษัทรับสร้างบ้านที่ท่านเลือกด้วย
การกำหนดฤกษ์เสาเอก
การกำหนดฤกษ์เสาเอกนั้น ส่วนใหญ่ก็คงต้องให้ผู้ที่เรานับถือ เช่น พระอาจารย์ พราหมณ์ หรือผู้ใหญ่ที่เรานับถือ ดูฤกษ์ดูยามในการทำพิธียกเสาเอกให้ โดยท่านเหล่านั้นก็จะหาวันและเวลาที่เป็นมงคลให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่เราสะดวกที่จะสร้างด้วย
ถ้าหากไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกในการตามหาพระอาจารย์ทั้งหลายมาให้ฤกษ์ให้ยาม คุณอาจจะหาฤกษ์ด้วยตนเองก็ได้ โดยอาจจะดูจากปฏิทิน 100 ปี หรือหาซื้อหนังสือโหราศาสตร์ ประเภทสรุปรวมฤกษ์ประจำทั้งปี ซึ่งหนังสือพวกนี้จะออกวางตลาดตอนปลายปีทุกปี ลองอ่านและหาฤกษ์ด้วยตนเองได้
การทำพิธียกเสาเอกกับขั้นตอนการสร้างบ้าน
ในสมัยโบราณ การก่อสร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นการสร้างบ้านไม้ เสาบ้านก็เป็นเสาไม้ ดังนั้นฤกษ์ลงเสาเอกก็คือ ฤกษ์เวลาที่เรานำเสาหลักของบ้านหย่อนลงสู่หลุมที่เตรียมเอาไว้ จัดเสาให้ตั้งตรง และเอาไม้ค้ำยันค้ำไว้ เอาดินกลบหลุมทั้งหมด
แต่ในปัจจุบัน ขั้นตอน และวิธีการก่อสร้างได้เปลี่ยนไป อาคารปัจจุบันส่วนใหญ่แล้วแต่เป็นอาคารโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ต้องมีการตอกเสาเข็ม ต้องมีการเทฐานราก ทำตอม่อ แล้วจึงจะขึ้นเสาโผล่พื้นดินได้ ดังนั้นก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจว่าพิธียกเสาเอกกับการสร้างในปัจจุบันที่เป็นโครงสร้างคอนกรีตนั้น เขาทำกันในช่วงไหนของการก่อสร้าง ซึ่งจากประสบการณ์ในการก่อสร้างที่ผ่านมา พิธียกเสาเอก จะทำกันได้ใน 3 ลักษณะดังนี้
1. ยึดเวลาที่ตอก (เจาะ) เสาเข็มต้นแรก หรือเวลาที่ตอก (เจาะ) เสาเข็มต้นที่กำหนดให้เป็นเสาเอก (น่าจะเรียกว่า "ฤกษ์" เข็มเอก)
2. ยึดเวลาที่ยกเสาเหล็กเสริม เทคอนกรีตฐานราก (จะเทคอนกรีตฐานรากพร้อมกับการตั้งเหล็กเสาต้นที่เป็นเสาเอก)
3. ยึดเวลาที่มีการเทคอนกรีตหล่อเสาอาคารจริงๆ (ซึ่งอาจจะตั้งหลังจากเริ่มทำการก่อสร้างแล้วเป็นเดือน) แต่ในที่นี้เราจะกล่าวถึงเฉพาะการเตรียมการ เตรียมของใช้และขั้นตอนในการยกเสาเอกแบบ ที่ยึดเวลาที่ยกเสาเหล็กเสริมขึ้นตั้งและเทคอนกรีตฐานราก ซึ่งเป็นลักษณะที่การสร้างบ้านในส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้กัน

การเตรียมการหน้างานในพิธียกเสาเอก

การเตรียมหน้างานก่อสร้างให้พร้อมก่อนการทำพิธียกเสาเอกถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าฤกษ์ ในพิธียกเสาเอก เป็นฤกษ์เวลาที่แน่นอน เช่นบางหลังกำหนดที่เวลา 9.09 น. ดังนั้นการเตรียมการหน้างานที่ไม่พร้อมอาจทำให้เกิดปัญหาขลุกขลัก ทำให้เกิดความผิดพลาดไม่ตรงกัน ฤกษ์ที่กำหนดไว้ เกิดความไม่สบายใจได้ ดังนั้นการเตรียมการหน้างานให้มีความพร้อมนั้นจะต้องจัดเตรียมงานดังนี้
1. การเตรียมพื้นที่ โดยรอบของบริเวณที่จะทำพิธีให้เรียบร้อย เพื่อสะดวกในการทำพิธี
2. ขุดหลุมฐานรากที่จะทำพิธี ให้มีขนาดความลึกและความกว้างตามแบบ
3. ปรับพื้นที่ก้นหลุมให้เรียบร้อย เก็บเศษปูนเศษไม้ให้หมด ปรับระดับให้เรียบด้วยทรายหยาบ
4. เตรียมผูกเหล็กเสริมฐานรากไว้ด้านบน พร้อมที่จะยกลงตอนทำพิธี
5. เตรียมผูกเหล็กเสาที่จะทำการยกเสาเอกวางพาดไว้ ตรงปากหลุมโดยยกหัวเสาให้สูงขึ้นกว่าโคนเสา
6. เตรียมคอนกรีตให้พร้อมเพื่อเตรียมเทหลังจากที่ยกเสาเหล็กขึ้นตั้งแล้ว

การเตรียมของใช้ในพิธียกเสาเอก
การเตรียมของใช้ในพิธียกเสาเอกนั้นมีอยู่หลายตำราด้วยกัน แล้วแต่ผู้ที่เรานับถือที่จะดำเนินการทำพิธีให้เป็นผู้กำหนด แต่ในที่นี้เราจะอ้างอิงจาก "ศาสนพิธี" ในหนังสือพุทธศาสตร์ ปีที่ 43 อันดับที่ 1/2543 โดยการเตรียมของใช้ในพิธียกเสาเอกมีดังนี้
1. จัดโต๊ะหมู่บูชา 1 ชุด พร้อมเครื่องสักการะ (ถ้าประสงค์)
2. จตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระ 1 ชุด (กรณีนิมนต์พระมาประพรมน้ำมนต์ที่หลุม และเจริญชัยมงคลคาถา)
3. เครื่องบูชาฤกษ์หรือสังเวยเทวดา (จัดย่อส่วนก็ได้ ดูพิธีวางศิลาฤกษ์)
4. ใบทอง นาก เงิน อย่างละ 3 ใบ
5. ทอง เงิน อย่างละ 9 เหรียญ
6. ทรายเสก 1 ขัน
7. น้ำมนต์ 1 ขัน (พร้อมกำหญ้าคา 1 กำ)
8. ด้ายสายสิญจน์ 1 ม้วนเล็ก
9. ทองคำเปลว 3 แผ่น
10. ผ้าแพรสีแดง ห่มเสา หรือผ้าขาวม้า 1 ผืน
11. หน่อกล้วย อ้อย อย่างละ 1 หน่อ
12. ไม้มงคล 9 ชนิด ได้แก่ กันเกรา ทรงบาดาล ชัยพฤกษ์ ราชพฤกษ์ ขนุน สักทอง ทองหลาง ไผ่สีสุก พยุง
13. แผ่นทอง นาก เงิน อย่างละ 1 แผ่น
14. ข้าวตอกดอกไม้ 1 ขัน

ลำดับพิธีในการยกเสาเอก
การทำพิธียกเสาเอกก็มีหลายตำรา แล้วแต่ผู้ดำเนินพิธี แต่ในที่นี้เราก็จะอ้างอิงจาก "ศาสนพิธี" ในหนังสือพุทธศาสตร์ ปีที่ 43 อันดับที่ 1/2543 เช่นกัน โดยลำดับพิธีขอบงการยกเสาเอกมีดังนี้
1. วางสายสิญจน์ เริ่มจากโต๊ะบูชาไปโต๊ะสังเวยขวา บริเวณสถานที่ก่อสร้างเข้าสู่เสาเอก (ก่อนเวลาฤกษ์พอสมควร)
2. จุดเทียนธูปที่โต๊ะหมู่บูชา อธิษฐานเพื่อเกิดสิริมงคล กราบพระ
3. จุดเทียนธูปที่โต๊ะสังเวย บูชาเทวดาให้คุ้มครอง
4. กล่าวสังเวยเทวดา
5. โปรยดอกไม้มงคล 9 ชนิด ลงในหลุมเสาเอก (ถ้ามี)
6. วางแผ่นทอง นาก เงินในหลุมเสาเอก (ถ้ามี)
7. นำใบทอง นาก เงิน และเหรียญทอง เงิน ลงก้นหลุมแล้วนิมนต์พระสงฆ์ประพรมน้ำมนต์โปรยทรายเสกที่หลุมเสา
8. เจิมและปิดทองเสาเอก
9. ผูกหน่อกล้วย อ้อย และผ้าสีแดงหรือผ้าขาวม้าที่เสาเอก
10. ถือด้ายสายสิญจน์ พร้อมทั้งญาติมิตรผู้ร่วมพิธี
11. ช่วยกันยกเสาเอก จนตั้งเรียบร้อย (ขณะยกเสานั้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา) (ถ้ามี)
12. โปรยข้าวตอกดอกไม้ลงหลุมเสาเอก พร้อมทั้งญาติมิตรผู้ร่วมพิธีเสร็จพิธี
- ถ้ายกเสาเอกในเดือนอ้าย ยี่ สาม เสาเอก อยู่ทิศอีสาน
- ถ้ายกเสาเอกในเดือน 4 - 5 - 6 เสาเอก อยู่ทิศอาคเนย์
- ถ้ายกเสาเอกในเดือน 7 - 8 - 9 เสาเอก อยู่ทิศหรดี
- ถ้ายกเสาเอกในเดือน 10 - 11 - 12 เสาเอก อยู่ทิศพายัพ
13. เมื่อธูปที่โต๊ะสังเวยไหม้หมดดอก ให้ลาเครื่องสังเวยได้ว่า "เสสัง มังคะลัง ยาจามิ"
14. หน่อกล้วย อ้อย เมื่อช่างเอาลงจากเสาแล้ว ให้นำไปปลูกไว้ในที่ต้องการ เพื่อเสี่ยงทายว่าจะงอกงามเพียงใด
- ถ้าจัดโต๊ะสังเวยไม่ได้ จะจัดเป็นสำรับบูชาพระภูมิเจ้าที่ธรรมดาก็ได้ และสิ่งประกอบอื่นๆ ก็เลือกเอาเท่าที่จำเป็นและหาได้ง่าย

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก www.89homebuilder.com (NewDesign V.1)



วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พิธีการแต่งงานในสมัยปัจจุบัน

 การแต่งงาน ในความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายความว่า การทำพิธีเพื่อให้ชายหญิง อยู่กินเป็นผัวเมียกันตามประเพณีการแต่งงานถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวของมนุษย์ในสังคม ผู้ที่จะมีครอบครัวได้ ก็คือ ชายหญิงที่อยู่ในวัยอันสมควร ที่จะเป็นสามีภริยากันได้ โดยชอบด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี และตัวบทกฎหมายของสังคม ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคตามสมัย ทำให้พิธีการแต่งงาน มีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ตามคตินิยมของแต่ละท้องถิ่น
         สำหรับผู้ที่มีชื่อเสียงและกำลังทรัพย์ อาจจะจัดพิธีแต่งงานใหญ่โต ให้หรูหราสมฐานะอย่างไรก็ได้ แต่ในสภาพเช่นปัจจุบัน เชื่อว่าหนุ่มสาวหลายคู่ คงจะคำนึงถึงพิธีที่คงความถูกต้องตามประเพณี ขณะเดียวกัน ก็มีความเรียบง่ายและประหยัด สอดคล้องกับสภาพสังคม และสภาวะเศรษฐกิจในยุคนี้มากกว่า ซึ่งในที่นี้จะขอเสนอแนวทางปฏิบัติ อันเนื่องด้วยการแต่งงาน ในทางที่ชอบด้วยประเพณี และตัวบทกฎหมายของไทย โดยตัดความสิ้นเปลืองออกไป คงไว้แต่สาระสำคัญของการจัดงาน ที่จำเป็นตามขั้นตอนดังนี้
          1. เริ่มจากการสู่ขอ ซึ่งเป็นเบื้องต้น
           ของประเพณีแต่งงานของสังคมไทย ถือเป็นเรื่องสิริมงคลของชายหญิง ที่จะเป็นสามีภริยากัน และเป็นการให้เกียรติแก่ฝ่ายหญิงด้วยการสู่ขอมี 2 ขั้นตอน คือ การทาบทามและการสู่ขอ การทาบทาม เป็นการเริ่มต้นของการสู่ขอโดยฝ่ายชาย จัดผู้ใหญ่ที่นับถือเป็น เฒ่าแก่ทาบทามไปทาบทามกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เมื่อฝ่ายหญิงไม่ขัดข้อง ก็จะมีข้อตกลงเกี่ยวกับสินสอดทองหมั้น ตลอดจนกำหนดวันเวลา ที่ฝ่ายชายจะมาสู่ขอต่อไป ส่วนการสู่ขอเป็นการยืนยันว่า ยอมรับข้อตกลงพร้อมทั้งหารือเรื่องพิธีหมั้น พิธีแต่งงาน หรือฤกษ์ยามกันต่อไป
          - พิธีหมั้น เป็นการมอบสิ่งของให้ฝ่ายหญิง เพื่อแสดงความมั่นหมายว่า จะแต่งงานด้วย ปัจจุบันการหมั้น ส่วนใหญ่นิยมใช้แหวนเป็นของหมั้น และพิธีหมั้นก็มีเพียงชายสวมแหวนหมั้น ให้แก่ฝ่ายหญิงต่อหน้าเฒ่าแก่ และญาติผู้ใหญ่ ของทั้งสองฝ่าย ที่มาเป็นสักขีพยาน และมีการเลี้ยงกันเล็กน้อย ก็เป็นเสร็จพิธีหมั้น ในกรณีที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย คุ้นเคยไว้เนื้อเชื่อใจกันดีอยู่แล้ว จะเหลือไว้แต่การแต่งงาน และการจดทะเบียนสมรสเลยก็ได้
          2. ขั้นตอนต่อมา เป็นการจัดพิธีแต่งงาน ในอดีตจะจัด 2 วัน 
          เรียกว่าวันสุกดิบ และวันแต่งงาน แต่โดยสภาพภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นิยมจัดงานให้เสร็จในวันเดียว ซึ่งพิธีแต่งงานแนวประหยัด ที่นำมาเสนอในที่นี้มี 4 แบบ ให้เลือก คือ
          - พิธีแต่งงานแบบที่ 1เป็นการดัดแปลงโดยตัดวันสุกดิบ และจัดขั้นตอนในทางปฏิบัติให้รวบขึ้น โดยเวลาเช้านิมนต์พระสงฆ์ มาเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นคู่บ่าวสาวตักบาตร เลี้ยงพระ เป็นเสร็จพิธีสงฆ์ ช่วงบ่ายฝ่ายเจ้าบ่าวจัดขบวนขันหมาก มายังบ้านเจ้าสาว มีการเชิญขันหมากตรวจสินสอด ไหว้บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ 
          พร้อมทั้งอาจจดทะเบียนสมรสเลยก็ได้ พอช่วงเย็น มีพิธีรดน้ำคู่บ่าวสาว เพื่อเป็นการประหยัด อาจเชิญประธานเพียง 1 ท่าน เป็นผู้รดน้ำและเจิมคู่บ่าวสาว จะนำของชำร่วยแจกผู้ร่วมงาน พอถึงช่วงกลางคืน บิดามารดา หรือญาติผู้ใหญ่ ก็จะทำพิธีปูที่นอน และทำพิธีส่งตัวเจ้าสาว พร้อมทั้งมีการให้โอวาท และอวยพรตามธรรมเนียมเป็นอันเสร็จพิธีแต่งงาน
          - พิธีแต่งงานแบบที่ 2 ฝ่ายเจ้าบ่าว จะจัดขันหมากมายังบ้านเจ้าสาว พร้อมทำบุญตักบาตร แล้วจดทะเบียนสมรสในช่วงเช้า ต่อจากนั้นในช่วงบ่าย ก็จัดพิธีรดน้ำและเลี้ยงอาหารแก่แขก ซึ่งจะเป็นอาหารว่าง หรืออาหารเย็น ก็แล้วแต่ความเหมาะสม พอช่วงกลางคืน ก็จะมีพิธีส่งตัวเจ้าสาว โดยมีพิธีปูที่นอน แล้วให้โอวาท และอวยพรแก่คู่บ่าวสาว โดยบิดามารดา หรือญาติผู้ใหญ่
          - พิธีแต่งงานแบบที่ 3 ในช่วงเช้าคู่บ่าวสาวจัดถวายสังฆทาน แล้วร่วมกันตักบาตรที่หน้าบ้านหรือที่วัด ต่อจากนั้นมีพิธีรดน้ำ หรือผูกข้อมือ จดทะเบียนสมรส ซึ่งก็มีเฉพาะญาติผู้ใหญ่ของคู่บ่าวสาวเท่านั้นที่มาร่วมพิธี เสร็จแล้วช่วงเที่ยง มีการเลี้ยงอาหาร ซึ่งอาจจัดใน หรือนอกสถานที่ก็ได้ตามสะดวก ส่วนการส่งตัว เป็นการจัดภายในเท่านั้น เป็นอันเสร็จพิธี
          - พิธีแบบที่ 4 ช่วงเช้า เจ้าบ่าวเจ้าสาวถวายสังฆทาน หรือตักบาตรที่หน้าบ้านหรือที่วัด ต่อจากนั้น บิดามารดา พร้อมทั้งญาติผู้ใหญ่ ที่ใกล้ชิดจะรดน้ำอวยพรหรือผูกข้อมือ แล้วไปจดทะเบียนสมรสเป็นเสร็จพิธี หรือในกรณีที่ต้องการให้กระชับที่สุด ก็อาจมีเพียงถวายสังฆทาน แล้วไปจดทะเบียนสมรสเลยก็ได้
          จะเห็นได้ว่า การที่คนเรารักกัน และต้องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนั้น ไม่จำเป็นต้องมีพิธีที่ใหญ่โตให้สิ้นเปลือง เงินทอง เสมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพียงแค่มีพิธีที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม ในยุคสมัยปัจจุบันก็น่าเพียงพอแล้ว ซึ่งก็สามารถทำให้ชีวิตคู่ครองรักกันยืนนานได้เช่นกัน
          การแห่ขันหมาก เป็นส่วนหนึ่งของประเพณีการแต่งงาน ของคนไทยในภาคกลาง โดยถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณ เมื่อมีการทาบทามฝ่ายหญิงเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายชายจะมีการแห่ขันหมากมา เพื่อทำพิธีหมั้นฝ่ายหญิง และนำไปสู่การรดน้ำ และส่งตัวบ่าวสาว จึงถือว่าเป็นอันเสร็จพิธีการแต่งงานของคนไทย ในขบวนขันหมากนำด้วย ขบวนการร่ายรำประกอบขบวนกลองยาวเถิดเถิงอย่างสนุกสนาน และตามด้วยขันต่าง ๆ 2 ขัน ดังนี้
          1. ขันหมากหมั้น ประกอบด้วย                     
          - ขันหมากเอก บรรจุหมากพลู ซึ่งถือว่าเป็นของใช้ประจำบ้านของคนไทยในอดีต
          - ขันหมากโท บรรจุวัตถุมงคล อาทิ ข้าวเปลือก ถั่ว งา ใบเงิน ใบทอง ใบนาค ยอดและดอกของดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญงอกงาม ความรักและการอยู่ร่วมกัน อย่างสงบสุขสมบูรณ์
          2. ขันของหมั้น บรรจุของหมั้นต่างๆ 
          เช่น เงิน ทอง แก้ว แหวน เงินสดค่าสินสอด และตามด้วยพานผ้าไหว้ และของขวัญสำหรับพ่อแม่ฝ่ายหญิง
          เมื่อขบวนแห่ขันหมากมาถึงบ้านฝ่ายหญิง เพื่อนฝ่ายหญิงจะตั้งประเงิน ประตูทอง กั้นขบวนขันหมาก ถ้าฝ่ายชายจะผ่าน ต้องจ่ายค่าผ่านประตูเงิน ประตูทอง จึงเข้าสู่พิธีหมั้น และทำพิธีหมั้นตามประเพณี จึงถือว่าเป็นอันจบขบวนแห่ขันหมากอย่างสมบูรณ์
ข้อมูล     :  อสมท.
ที่มา       :  www.kapook.com
ผู้เสนอ   :  กลุ่มวิเคราะห์ข่าวและฐานข้อมูล  สำนักโฆษก


ประเพณีเกี่ยวกับการแต่งงาน

แต่งงานวัฒนธรรมไทยพุทธ          ครูสมเกียรติ  คำแหง
           ประเพณีแต่งงานในภาคใต้แต่ละถิ่นเรียกไม่เหมือนกัน  บางท้องถิ่นเรียกว่า  ไหว้เมีย  บางท้องถิ่นเรียกว่า  กินเหนียว  บางท้องถิ่นเรียกว่า  วันไหว้  คำเหล่านี้  ตามชนบทบางแห่งยังมีใช้กันอยู่  แต่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนิยมใช้คำว่า  แต่งงาน  แต่เดิมชาวภาคใต้ถือเอาการแต่งงานเป็นเครื่องวัดความบรรลุนิติภาวะหรือความเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์  และผู้ที่ผ่านการแต่งงานแล้วจะเป็นที่เชื่อถือของสังคมมากกว่าตอนที่ยังเป็นโสด  ทั้งนี้เพราะชายที่จะแต่งงานได้จะต้องได้รับการบวชเรียนเสียก่อน  การบวชทำให้มีโอกาสได้ศึกษาและได้ฝึกบ่มนิสัยที่ดีงามได้ขัดเกลาอารมณ์และความคิดให้สุขุมรอบคอบเป็นแนวทางในการครองตนเองและเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี ส่วนใหญ่เชื่อด้วยว่าการบวชเรียนได้ช่วยให้พ่อแม่ได้พลอยเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์  ความเชื่อนี้ช่วยบังคับให้ผู้ที่จะแต่งงานจำต้องบวชเรียนเสียก่อน ด้วยเหตุที่การแต่งงานเป็นการก้าวเข้าสู่ช่วงที่สำคัญที่สุดทั้งฝ่ายหยิงและชายต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน  ต้องวางแผนในการใช้ชีวิตคู่      การแต่งงานจึงต้องมีกระบวนการและพิธีการเพื่อไม่ให้บกพร่องด้วยประการทั้งปวง  การแต่งงานของชาวภาคใต้  จึงมีขั้นตอนที่เป็นไปตามค่านิยม  ความเชื่อและประเพณีนิยม  ดังต่อไปนี้
(๑)      การเกี่ยวพาราสีและการผูกสัมพันธ์
(๒)    การทาบทาม                      
(๓)     การสู่ขอ
(๔)     การแต่งงาน
 การผูกสัมพันธ์  การทาบทาม (แยบเมีย)
       การผูกสัมพันธ์เริ่มต้นจากกการแสวงหาคู่ที่ตนถูกใจ  ถ้าอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน หนุ่มก็พอรู้ว่าบ้านใดมีลูกสาวหรือไม่  ส่วนสาวก็พอรู้ว่ามีหนุ่มใดบ้าง  คนไหนเป็นอย่างไร  ถ้าเกิดพอใจก็เริ่มหาทางผูกสัมพันธ์  เรียกการที่หนุ่มสร้างสัมพันธ์กับสาวว่า  บ้าหญิง  ถิ่นเรียกว่าบ้าเมีย    แต่ต้องระวังไม่ให้ญาติฝ่ายหญิงล่วงรู้เป็นอันขาด  เพราะว่าอาจถูกทำร้ายร่างกายได้เช่น    ด้วยพร้าหรือขวาน  หรือแทงด้วยมีด  อันตรายดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเหตุนี้การที่หนุ่มสาวจะเลือกคู่ได้ผู้ที่ต่างคนต่างพอใจ  เว้นแต่แอบพบกันในที่ลับตาคนด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ  ซึ่งมักอาศัยแม่สื่อหรือ  แม่ชัก  คอยให้ความช่วยเหลือการพบกับอีกลักษณะหนึ่งคือพบกันในเวลากลางคืน  การนัดแบบนี้ฝ่ายชายมักมีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย    คน  เพื่อคอยระวังต้นทางและคอยช่วยเหลือถ้าเกิดอันตรายขึ้น  ฝ่ายหนุ่มจะต้องแสดงรหัสตามที่ตกลงกันไว้  เช่น เข้าไปใต้ถุนบ้านตรงกับที่นอนของสาวใช้มือหรือไม้แหย่ขึ้นไปตามช่องฟากหรือช่องพื้น  เรียกการแหย่ให้ผู้หญิงรู้ตัวเช่นนี้เรียกว่า  แยงหญิง  ต้องแยงตามตำแหน่งที่ได้นัดกับสาวไว้จนจนถูกตัวสาว  แล้วสาวจะปฏิบัติต่อไปใน    วิธี  คือ     อาจลุกขึ้นถอดกลอนประตูเพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มได้ขึ้นไปพลอดรัก  หรือวิธีสุดท้ายสาวจะไปเปิดประตูลงไปข้างล่างทำทีว่าไปเ เข้าห้องน้ำ  ลงไปพบกับหนุ่มตามนัด  การแยงหญิงนี้ใช้กันเพียงบางคู่  หรือบางคนเท่านั้น  หนุ่มบางรายไม่ได้นัดแนะสาวไว้ล่วงหน้า  แอบไปแยงหญิงด้วยความคึกคะนองก็มี  การที่ชายแอบขึ้นไปหาหญิงถึงห้องนอน  เรียกว่า
 ขึ้นหญิง  หากหนุ่มไม่ต้องใจสาวดใดในละแวกบ้านเดียวกันก็จะหาโอกาสไปบ้าหญิงต่างหมู่บ้านต่างตำบล  ซึ่งจะเกิดใน    กรณี  กรณีแรก  เมื่อได้พบสาวในงานต่าง ๆ  เมื่อพบสาวที่ต้องตาก็จะพาเพื่อเดินตาม  สาวไปไหนหนุ่มไปนั้น  จนสาวรู้ตัว  หนุ่มก็จะสืบจากคนที่พอรู้จัก  เมื้อทราบว่าสาวนั้นอยู่บ้านใดเป็นลูกหลานใครพอเป็นเค้าก็หาโอกาสไปบ้าหญิงตามที่รู้จักนั้น    โดยอาศัย  แม่ชัก  ช่วย  อาจหาโอกาสนัดแนะไปที่บ้านใดบ้านหนึ่งที่หนุ่มไปมาหาสู่ได้  หรืออีกกรณีหนึ่งหนุ่มไปเที่ยวบ้านญาติหรือบ้านเพื่อนที่อยู่ต่างบ้าน  โดยเจตนาไปเสาะหาสาวที่ถูกใจด้วยการบอกกล่าวญาติมิตรไว้ล่วงหน้า  เรียกว่า ไปแลหญิง  หากเป็นที่พอใจก็จะบอกญาติผู้ใหญ่ให้ไปสู่ขอตามประเพณีต่อไป  ในกรณีเช่นนี้มักไม่คำนึงถึงฝ่ายหญิงจะชอบตนหรือไม่  เพียงแต่สืบเสาะให้ทราบว่าผู้หญิงที่ตนพึงใจนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
           การทาบทาม(แยบ)
            เมื่อฝ่ายหนุ่มต่างเห็นชอบต้องกันแล้วว่าจะเลือกหญิงคนใดแต่งงานด้วย  ก็จะดำเนินการทาบทามตามประเพณี  เรียกการทาบทามว่า  แยบ  โดยปกติคนที่จะไปแยบมักเป็นญาติฝ่ายชายที่เป็นผู้หญิงที่มีเกียรติ  แต่มักจะเป็นผู้อาวุโสหรือ  นางเฒ่า  หรือ  มีแก่  ก่อนที่นางเฒ่าจะไปทาบทามจะต้องดูฤกษ์ยามเสียก่อนว่าวันเวลาใดจึงจะเหมาะ  โดยเลือกวันดี    ซึงถือว่าถ้าไปทาบทามในวันนั้นจะประสบความสำเร็จทุกประการ  และยังทราบถึงนิสัยของฝ่ายหญิงอีกด้วย  ดังความเชื่อต่อไปนี้ 
๑.     ถ้าทาบทามหญิงในเดือนอ้าย  จะได้หญิงเป็นคนปากจัด  เป็นหญิงไม่ดี
๒.    ถ้าทาบทามหญิงในเดือนยี่  จะได้หญิงที่มีความขยันหมั่นเพียร
๓.    ถ้าทาบทามหญิงในเดือน    จะได้หญิงที่มีอายุไม่ยืนจะตายไปในเวลาอันรวดเร็ว
๔.    ถ้าทาบทามหญิงในเดือน    จะได้หญิงที่ดี  มีความสุภาพเรียบร้อย
๕.    ถ้าทาบทามหญิงในเดือน    จะได้หญิงที่ปากกล้า
๖.     ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน    จะได้ผู้ที่มีปัญญาความรู้ดี 
๗.    ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน    จะได้ผู้หญิงที่มีโรคร้ายไข้เจ็บอยู่เสมอ
๘.    ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน    จะได้ผู้หญิงที่คลอดลูกลำบาก
๙.     ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน  ๑๐  จะได้ผู้หญิงที่ปากจัด  ชอกเถียงสามี
๑๐. ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน  ๑๑  จะได้ผู้หญิงที่เป็นคนชอบทุกข์ใจอยู่เสมอ
๑๑. ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน  ๑๒  จะได้ผู้หญิงที่เป็นคนมีปัญญา  ความรู้
เครื่องประกอบที่นำไปแยบ  แต่ละถิ่นถือปฏิบัติแตกต่างกันไป  แต่เรียกตรงกันว่า 
ขันหมากแยบ  โดยจัดหมากและพลูลงในขันหมาก  ซึ่งมักใช้ขันลงหิน  หรือถ้ามีฐานะดีอาจเป็นขันทองคำ  แล้วจึงเอาผ้าหุ้มขันหมาก  และมัดตรงยอดกรวยให้สวยงาม  หลังจากจัดขันหมากเรียบร้อยแล้ว  นางเฒ่าจะบนบานสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ตนเคารพนับถือช่วยให้ทาบทามสำเร็จสมประสงค์   บางรายหาของขลังมาชวยเช่นต้องเสกแป้งผักหน้า  เสกขี้ผึ้งทาปาก  เพื่อให้เจรจาสำเร็จ   เมื่อนางเฒ่าหรือมีแก่ไปถึงบ้านของฝ่ายหญิง  มีการเชื่อเชิญและตอนรับกันตามธรรมเนียมแล้ว  ก็จะเริ่มต้นพูดจากันเริ่มด้วยการถามทุกข์สุข  กล่าวคำชมเชยต่าง ๆ  ในที่สุดก็พูดนำเข้าสู่เรื่องสำคัญโดยกล่าวเป็นทำนองเปรียบเทียบว่า  รู้ว่าบ้านนี้มีน้ำเต้า  พันธ์ดีอยากจะมาขอไปทำพันธุ์บ้าง  การเปรียบเทียบหญิงสาวที่ต้องการให้แต่งงานเป็นน้ำเต้าทรามแกง  เป็นประเพณีสืบต่อกันมา  เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงตอบไม่ขัดข้อง  แต่ต้องถามเจ้าตัวดูก่อน  บางที่อาจจะเรียกลูกสาวมาถามกันต่อหน้า  ในกรณีที่มั่นใจว่าสาวจะไม่ปฏิเสธ  สาวก็จะตอบว่า  แล้วแต่แม่กับพ่อ  ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าไม่ขัดข้อง  ปัญหาสืบเนื่องจากการแยบมีอยู่เสมอถ้าเกิดความคิดเห็นขัดแย้งกัน    เช่นถ้าหนุ่มสาวพอใจกันอย่างมากแต่ถูกพ่อแม่กีดกันอาจจะนัดแนะให้ฝ่ายหญิงหนีตามกัน  กรณีเหล่านี้ก่อให้เกิดความบาดหมางน้ำใจกันอยู่ระยะหนึ่งหรืออาจตลอดไป  เพราะสมัยก่อนประเพณีการหวงลูกสาวและประเพณีการคลุมถุงชนทำให้คาดการณ์ได้ยากกว่าการแยบจะต้องประสบความสำเร็จเสมอ
 การสู่ขอ
    การสู่ขอชาวภาคใต้เรียกว่า  ขอเมีย  เป็นการกระทำ    ขั้นตอนควบคู่กันไปคือการสู่ขอและการหมั้น  แต่ส่วนมากถือว่าการแยบเป็นการสู่ขอไปในตัว  โดยปกติฝ่ายชายไปแยบ
( ทาบทาม )  ฝ่ายหญิง  และทราบแน่นอนแล้วว่าฝ่ายหญิงไม่รังเกียจ  ฝ่ายชายก็จะจัดพิธีสู่ขอตามประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา 
วันสู่ขอที่ถือปฏิบัติกันมา  ไม่นิยมจัดกันในวันอังคาร  วันพุธและวันเสาร์  ส่วนเดือนที่ไม่นิยมจัดคือเดือนอ้าย  เดือน    และเดือน    เดือนที่นิยมคือ  เดือนยี่  เดือน    เดือน    เดือน    เดือน    และเดือน  ๑๑  สำหรับเดือน    เดือน  ๑๐  เดือน  ๑๒  เป็นเดือนปานกลางไม่ดีไม่ชั่วจะทำก็ได้
ฤกษ์ยามสู่ขอตามวันสู่ขอข้างขึ้นข้างแรม  มีหลายตำราที่นิยมกันมาก  คือ 
๑.         วันขึ้น    ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ  ดี  ปลูกบ้านดี
๒.        วันขึ้น    ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ  ดี  แต่ห้ามปลูกบ้านดี
๓.        วันขึ้น    ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ  ดี  ปลูกบ้านดี
๔.        วันขึ้น    ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ  ไม่ดีดี  ห่มปลูกบ้านปลูกบ้านดี  และอย่าเมียดี
๕.        วันขึ้น    ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ  ดี  ปลูกบ้านดีและขอเมียดี
๖.          วันขึ้น    ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี  อย่าปลูกบ้านและอย่าขอเมีย
๗.         วันขึ้น    ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี  อย่าปลูกบ้าน  และขอเมีย
๘.         วันขึ้น    ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ ดี  ปลูกบ้านดี  และขอเมียดี
๙.          วันขึ้น  ๑๐  ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี  อย่าปลูกบ้าน  และขอเมีย
๑๐.     วันขึ้น  ๑๑  ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ  ดี  ปลูกบ้านดีและขอเมียดี 
๑๑.      วันขึ้น  ๑๒  ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี  อย่าปลูกบ้าน  และขอเมีย
๑๒.           วันขึ้น   ๑๓ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ ดี  ปลูกบ้านดี  และขอเมีย ดี
๑๓.           วันขึ้น  ๑๔  ค่ำ  ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี  อย่าปลูกบ้านและขอเมีย
๑๔.           วันขึ้น  ๑๕  ค่ำ  อย่าทำการมงคลใด ๆมิดี
๑๕.           วันแรม    ค่ำ   อย่าทำการมงคลใด ๆ  มิดี
๑๖.      วันแรม    ค่ำ  อย่าปลูกบ้าน  และอย่าขอเมีย  และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๑๗.           วันแรม    ค่ำ  อย่าทำการมงคลใด ๆ  มิดี
๑๘.           วันแรม    ค่ำ  ปลูกบ้านดี  ทำการมงคลดี  แต่อย่าขอเมีย
๑๙.      วันแรม    ค่ำ  อย่าปลูกบ้าน  อย่าขอเมีย  และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๐.           วันแรม    ค่ำ  อย่าปลูกบ้าน  และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๑.           วันแรม  ๗  ค่ำ  อย่าปลูกบ้าน  อย่าขอเมีย  และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๒.         วันแรม    ค่ำ  ปลูกบ้านดี  ขอเมียดี  ทำการมงคลใด ๆ ดี
๒๓.          วันแรม    ค่ำ  อย่าปลูกบ้านและอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๔.          วันแรม  ๑๐  ค่ำ  อย่าปลูกบ้านและอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๕.         วันแรม  ๑๑  ค่ำ  ปลูกบ้านดี  ขอเมียดี  และทำการมงคลใด ๆ ดี
๒๖.           วันแรม  ๑๒  ค่ำ  อย่าปลูกบ้าน  อย่าขอเมีย  และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๗.         วันแรม  ๑๓  ค่ำ   อย่าปลูกบ้าน  อย่าขอเมีย  และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๘.          วันแรม  ๑๔  ค่ำ  ปลูกบ้านดี  ขอเมียดี  และทำการมงคลใดๆดี
๒๙.           วันแรม  ๑๕  ค่ำ  อย่าทำการมงคลใด ๆ
 วันแต่งงาน
             เมื่อการสู่ขอผ่านไปอย่างเรียบร้อย  การอาสาเป็นที่พอใจมั่นว่าหนุ่มสาวคู่นั้นจะเป็นคู่ครองที่เหมาะสมแน่นอนขั้นตอ่ไปก็เป็การแต่งงานซึ่งเรียกว่า  ไหว้เมีย  หรือ  วันไหว้  ทั้ง ๒  ฝ่าย  ก็จะต้องหาฤกษ์ยามและเตรียมการอื่น ๆ  ให้พร้อม 
            ฤกษ์ยามแต่งงานนอกจากจะเลือกเอาวันที่เหมาะแก่การทำการมงคลดังกล่าวไว้ในเรื่องการสู่ขอแล้ว  ที่เคร่งครัดมาก ๆ  ซึ่งมีหลายตำรา  อย่างเช่นตำราหนึ่งเขียนไว้เป็นร้อยกรองดังนี้
            วันฤกษ์ดีเหมาะแก่การประกอบพิธีมงคล  คือ
                  วันอาทิตย์สิบสี่  มีมงคล
            จันทร์สิบสอง  ครองตนเป็นแก่นสาร
            สิบสามค่ำวันอังคาร  อโรการ
            พุธวานสี่ค่ำ  อันอำไพ
            พฤหัสเจ็ดค่ำ  ศุภดิถี
            วันศุกร์สิบค่ำ  ดีมีโชคชัย
            ปราศจากภัยพูนผลเป็นมงคล

                 อาทิตย์สิบเอ็ด     จันทร์ห้า  นั้นว่าดี
            อังคารนั้นสิบสี่     ดิถีดี
            พุธสิบค่ำ     ครบประจบจวน
            พฤหัสบดีส่วนเก้าค่ำ  เป็นสำคำญ
            ศุกร์สิบเอ็ด  เสร็จศุภดิถี
            วันเสาร์สี่ค่ำ  เลิศประเสริฐสรรค์
            วันฤกษ์ไม่ดี  ไม่เหมาะแก่การประกอบพิธีมงคล  คือ
                 อาทิตย์สี่     จันทร์หก  ตกที่ร้าย
            อังคารหมายค่ำหนึ่ง     ไม่พึงประสงค์
            วันพุธสาม    พฤหัสแปด  ไม่ตกลง
            ศุกร์ลงเจ็ดค่ำ     ร่ำพิไร
            วันเสาร์หนึ่งค่ำ  นั้นสำสาม
            จะเข็ดข้ามวันไม่ดีมีทุกข์ใหญ่
             อาทิตย์สิบสอง     จันทร์สิบเอ็ด   เจ็ดอังคาร
            ควรคิดอ่านหลบหลีกปลีกตัวหนี
            พุธสามค่ำ    นั่นหนาว่าไม่ดี
            พฤหัสบดีหก    ศุกร์แปด  ล้วนมีภัย
            ส่วนวันเสาร์เก้าค่ำ  ห้ามเด็ดขาด
            อย่าประมาทวันร้ายนั้นไม่ไหว
 ขันหมาก
            สำหรับขันหมากขอ  ตามแบบดั้งเดิมของภาคใต้  ประกอบด้วยขันหมาก    ขัน  คือ
���       ขันหมากหัว  จำนวน    ขัน
ขันหมากหัวนี้บางทีเรียกว่า  ขันหมากพลู   เพราะมักจะใช้บรรจุหมากพลูเป็นสำคัญ 
ใช้ขันทองคำหรือขันลงหิน  มีขนาดใหญ่  สิ่งที่ใช้บรรจุขันหมากหัว  แบบโบราณแท้มีดังนี้
            ๑.๑  ใบกล้วยทอง  ใช้สำหรับรองก้นขันชั้นล่างสุด  มักจะให้หมอลงยันตร์ที่ใบกล้วยทองดังกล่าวนี้  การใช้ใบกล้วยทองมารองที่ก้นขันคงจะต้องการเคล็ดว่า  ให้ชายหญิงที่ปองรักกันนี้ร่ำรวยมีทอง  และให้ครองรักกันยั่งยืนเช่นใบกล้วย 
            ๑.๒  ใบยอ  จำนวน    ใบ        ใช้สำหรับรองก้นขันชั้นบนขึ้นมา  มักจะให้หมอลงยันตร์ซึ่งเรียกว่า  พลายงามตามโขลง  การนำใบยอมาใช้ก็ดี  และการใช้ยันตร์ดังกล่าวนี้ก็ดี  ล้วนแต่มีเจตนาให้คนรัก  คงจะต้องการให้ฝ่ายหญิงมีความรักเมตตา เอ็นดูในตัวของฝ่ายชาย
            ๑.๓  ใบทองหลาง  จำนวน    ใบ  ใช้สำหรับรองก้นขันชั้นบนสุดถัดขึ้นมากใบยอ  มักจะให้หมอลงยันตร์  ซึ่งเรียกว่า  กาจับหลัก     การนำใบทองหลางมาใช้คงจะเอาเคล็ดของคำว่า
ทอง   เช่นเดียวกันกับการใช้ใบกล้วยมอง  ทั้งนี้คงให้คู่รักมีความร่ำรวยทำกินบังเกิด  ส่วนการลงยันตร์กาจับหลัก  คงจะมีเจตนาให้หญิงชายทั้งสองรักกันยั่งยืน ขันหมากหัวนี้เมื่อบรรจุสิ่งของต่างๆ เสร็จแล้วจะห่อด้วยผ้าขาว  และมักให้ผู้หญิงซึ่งเป็นญาติชั้นผู้ใหญ่ของฝ่ายชายเป็นผู้ถือไป
      ขันหมากถาม  จำนวน    ขัน
เป็นขันทองคำหรือขันลงหินขนาดกลาง  ใช้เพื่อบรรจุขนมต่าง ๆ  เช่น  ขนมถั่วตัด
ขนมปังกรอบ  ขนมไข่  ขนมเปีย  เป็นต้น  ขันหมากถามนี้หุ้มด้วยผ้าขาวเช่นเดียวกัน  เป็นขันหมากที่ใช้เป็นนัยว่าถามฝ่ายหญิงว่าจะยองยกบุตรสาวของตนให้แก่ฝ่ายชายหรือไม่
      ขันหมากต่อ  จำนวน    ขัน
เป็นขันทองคำหรือขันลงหินที่มีขนาดเล็กที่สุด  เพื่อใช้บรรจุเครื่องหอม และเครื่อง
ประดับต่าง ๆ  เช่นน้ำหอม  สบู่  แป้ง  หวี  กระจก  เป็นต้น  ทำนองจะเป็นขวัญสำหรับฝ่ายหญิง  เป็นขันหมากที่ใช้เป็นนัยว่าจะขอต่อรองหากว่าฝ่ายหญิงแสดงสัญลักษณ์มาว่าไม่เต็มใจจะยกบุตรสาวให้แก่ฝ่ายชายที่มาสู้ขอ
            เมื่อเตรียมขันหมากทั้ง    พร้อมแล้วและได้เวลาฤกษ์ดี  นางเฒ่าออกเดินทางนำหน้าพร้อมด้วยเชี่ยนหมากเฒ่า  และมีผู้ติดตามซึ่งเป็นผู้หญิงที่มีศักดิ์ศรีและเป็นที่นับถือของคนทั่วไป  ใกล้เคียงกับนางเฒ่าอีกประมาณ    คน  โดยคนหนึ่งถือขันหมากหัวและอีก    คนถือถือขันหมากถามและขันหมากต่อ  ในขณะที่เดินทางหากจำเป็นต้องผ่านบ้านใดถ้าบ้านนั้นมีลูกสาวที่ยังโสดอยู่นางเฒ่าต้องจัดขันหมากเพื่อขออนุญาตและขอโทษเจ้าบ้าน  บ้านละหนึ่ง    คำทุกบ้านตลอดทางผ่าน  ตามธรรมเนียมและความเชื่อที่กล่าวมาแต่ต้น
           ครั้นไปถึงบ้านฝ่ายหญิงนางเฒ่าจะเรียกเจ้าบ้าน  เจ้าบ้านจะออกมาต้อนรับและเชิญขึ้นนั่งบนบ้าน  พร้อมกับยกเชี่ยนหมากและยกขันน้ำมารับรอง  เมื่อนั่งคุยกันได้สักครู่นางเฒ่าจะยื่นขันหมากให้ฝ่ายหญิง  ข้างฝ่ายหญิงนั้นปกติแม่ของหญิงสาวมักจะออกมาเป็นธุระ  แม่ของผู้หญิงรับขันหมากแล้ววางไว้แล้วจะยกข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูกัน  หลังจากเลี้ยวอาห���รแล้วแม่ของฝ่ายหญิงจะเริ่มแก้ขันหมากโดยจะเริ่มแก้ที่ขันหมากหัวก่อน  แล้วหยิบหมากพลูในขันหมากหัวไว้จำนวนหนึ่งของหมากพลู  ขนม  และสิ่งของต่างๆ    ในขันหมากทั้งสามที่แม่ของฝ่ายหญิงหยิบไปนั้นล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่บอกให้นางเฒ่าทราบทันทีโดยไม่ต้องพูดจาว่าฝ่ายหญิงพอใจที่จะยกบุตรสาวของตนให้แก่ผู้ที่มาสู่ขอหรือไม่  กล่าวคือ
๑ ) ถ้าฝ่ายหญิงพอใจที่จะยกบุตรสาวให้  เขาจะหยิบเอาหมากพลูในขันหมากหัวไว้เกือบหมดทั้งขัน  จะคงไว้ในขันสำหรับให้นางเฒ่านำกลับไปอภินันทนาการเจ้าของขันตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อกันมา
๒ ) ถ้าฝ่ายหญิงพอใจที่จะยกบุตรสาวให้  เขาจะหยิบเอาขนมในขันหมากถามจนเกือบหมด  คงไว้นั้นขัน    ชิ้นเท่านั้น 
๓ ) ถ้าฝ่ายหญิงพอใจที่จะยกบุตรสาวให้  เขาจะหยิบเอาเครื่องหอมและเครื่องแต่งกายในขันหมากต่อทั้งหมด
หากฝ่ายหญิงแสดงอาการให้นางเฒ่ารู้ว่าเขามีเจตนาจะ  ตัด   การสู่ขอครั้งนี้  นางเฒ่าจะลากลับทั้งคณะ  แล้วจะเตรียมตัวกลับไปบ้านฝ่ายหญิงอีกครั้งภายใน  ๓วัน  หรือ    วัน  นับจากการไปสู่ขอครั้งก่อน  การไปครั้งใหม่นี้นำเฉพาะขันหมากต่อที่ต้องนำกลับมาในครั้งแรกไปเท่านั้น  นางเฒ่าและคณะจะกลับและไปครั้งใหม่ได้อีกในกำหนดเดิม  ตามธรรมเนียมของปักษ์ใต้  ให้นางเฒ่าต่อรองเช่นนี้ได้ไม่เกิน    ครั้ง  หากครั้งที่ ๓  ถูกปฏิเสธอีกนางเฒ่าจะต้องเลิก  ต่อ  และอาจจะคิดอ่านไปสู่ขอผู้หญิงรายอื่นต่อไป
ในกรณีที่การสู่ขอนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่นโดยตลอดและมีการหมั้นพร้อมกันไปในตัว  การไปสู่ขอนั้นจะมีชายที่จะเป็นเจ้าบ่าวร่วมเดินทางไปด้วย  ผู้เฒ่าของฝ่ายชายเริ่มกล่าวนำขึ้นก่อนในทำนองว่า  วันนี้วันดีได้มาสู่ขอน้ำเต้าไปทำพันธุ์  ฝ่ายหญิงตอบในทำนองว่า  บ้านนี้ยินดีให้น้ำเต้าไปทำพันธุ์  แล้วผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะนำสาวออกมาสู่พิธี
ภายหลังการสู่ขอและการหมั้นแล้ว  ผู้ชายก็หมักมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง  ในฐานะเตรียมเป็นลูกเขยเป็นเวลาหลายเดือน  หรือเป็นแรมปีบางแห่งเรียกว่า  ฝากบำเรอ    บางท้องถิ่นเรียกว่า
อาสา  เช่น  ทำนา  ทำไร่  ทำสวนตามลักษณะอาชีพของพ่อแม่ฝ่ายหญิง  บางรายฝ่ายหญิงมอบที่ดินให้ลูกสาวจึงต้องปลูกเรือนหอไว้อยู่อาศัย  หรือแต่งงาน  อีกประการหนึ่งเพื่อเป็นการศึกษาอุปนิสัยใจคอที่แท้จริงด้วยกันทั้ง    ฝ่าย
เครื่องเซ่นวักตักแตน
  เครื่องเซ่นวักตักแตนนี้ใช้สำหรับบูชาครูหมอและตายายของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง  เครื่องเซ่นวักตักแตน  ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้  คือ
            กล้วย    หวี     ไก่ต้ม    ตัว     เรียกว่า  ไก่วักด้าม        อ้อย    ท่อน    
หมาก    คำ
            นอกจากนี้อาจจะมีสิ่งของอย่างอื่นที่ฝ่ายชายเห็นชมควรจะนำไปด้วยก็ได้  เช่น
            ๑)  ดอกไม้  ธูปเทียน  และธูปเทียนแพ  ใช้สำหรับบูชาพระ  และบูชาตายายของฝ่ายเจ้าสาว
            ๒)  ของเครื่องเคียง  ซึ่งประกอบด้วยขนมต่าง ๆ  เช่น  ขนมที่ทำด้วยถั่วงา  ส้ม  และมะพร้าวอ่อน
๓)      เชี่ยนหมากเฒ่า  ซึ่งเป็นเชี่ยนหมากประจำตัวเจ้าบ่าว  และนางเฒ่า
๔)      ผ้าสำหรับไหว้พ่อแม่เจ้าสาว
ส่วนฝ่ายหญิงนอกจากจะต้องเตรียมสถานที่ในการประกอบพิธีแล้วยังต้องเตรียมสิ่งของ
ใช้สำหรับประกอบพิธีตอนกราบหมอนด้วย
 ไสยศาสตร์ในพิธีแต่งงาน
    ในตอนค่ำของวันสุกดิบนี้เจ้าสาวจะต้องเชิญหมอผู้ทรงวิทยาคุณมาปรพกอบพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย  ซึ่งพิธีดังกล่าวจะดำเนินไปตามลำดับดังนี้  คือ
            ๑ ) การเสกแป้งและเสกน้ำหมอ 
            พิธีกรรมตอนนี้เริ่มด้วยหมอจะจับตลับแป้งและตลับน้ำหอมที่เจ้าสาวจะใช้ทาในตอนเช้ามาเสกด้วยแวทมนตร์คาถา  เพื่อให้แป้งและน้ำหอมนั้นบันดาบาลให้เจ้าสาวมีเสน่ห์  มีความผุดผาด  สวยงามขึ้น  ใครเห็นใครรัก  ใครเห็นใครชม  คาถาที่ใช้เสกแป้งและน้ำมันหอมที่หมอภาวนาในขณะประกอบพิธี  คือ
            ออ  อา  ออ  แอ  ออรัก  อองาม  นะออ  ยอลือ
            แป้งและน้ำมันหอมที่เสกแล้วนี้ให้เจ้าสาวเก็บไว้สำหรับทาด้วยตนเองในตอนเช้าของวันที่จะเข้าพิธีแต่งงาน
๒)  การปลุกร่าง
เมื่อหมอทำพิธีเสกแป้งและน้ำหอมเสร็จแล้ว  หมอจะทำพิธีปลุกร่างเจ้าสาว  โดยให้
เจ้าสาวยืนตรงหน้าแล้วหมอจะภาวนาคาถา  ในขณะที่ภาวนาคาถาหมอจะลูบไปตามตัวเจ้าสาวโดยตั้งต้นที่เท้าของเจ้าสาวแล้วลูบขึ้นไปจนถึงศีรษะ  พิธีกรรมตอนนี้เชื่อว่าจะทำให้เจ้าสาวมีความเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาขึ้น  ปราศจากความเงื่องหงอยเศร้าซึมอันจะทำให้เสียบุคลิกลักษณะ
๓)     การเสกเสื้อผ้า
ถัดจากการปลุกร่างหมกจะเสกเสื้อผ้าของเจ้าสาว  โดยหมอจะจับเสื้อผ้าของเจ้าสาวที่
เจ้าสาวใช้สวมใส่ในวันแต่งงาน    การเสกเสื้อผ้านี้  เชื่อว่าเสื้อผ้าที่เสกแล้วนี้ไม่มีเสนียดจัญไรแอบแฝงอยู่ทำให้ผู้สวมใส่มีสง่าราศียิ่งขึ้น
๔)       การชบราศี
คำว่า  ชบ  ภาษาถิ่นปักษ์ใต้ตรงกับคำว่า  ชุบ  การขบราศี  ก็คือ  การเพิ่มเมตตามหานิยม
แก่บุคคล การทำพิธีตอนนี้มุ่งจะให้สาวได้รับความรักความเมตตาจากทุกคน  การทำพิธีเริ่มด้วยหมอจับตัวเจ้าสาวพร้อมกับภาวนาคาถาประกอบโดยการลูบตัวเจ้าสาวจากเท้าไปศีรษะจำนวน    ครั้ง  คาถานี้นอกจากจะใช้ชบราศีแล้ว  หมอยังมักจะแนะนำให้เจ้าสาวภาวนาเพื่อเสกน้ำล้างหน้าทุก ๆ เช้าด้วย  เพราะเชื่อว่านอกจาจะได้รับความเมตตาจากบุคคลอื่นแล้ว  คาถานี้ยังช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ  ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
            โดยปกติในตอนค่ำของวันสุกดิบนี้  เพื่อนฝูงของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะมาร่วมงานกันอย่างสนุกสนานกันมาเป็นพิเศษ  ดังนั้นมักจะมีการรื่นเริงในรูปแบต่าง ๆ  และนอกจากเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเตรียมการอย่างอื่นไว้ให้พร้อมแล้วยังต้องหาเพื่อนบ่าวและเพื่อนสาวไว้เป็นพี่เลี้ยงตอนประกอบพิธีแต่งงานด้วย 
ในการเป็นเพื่อนบ่าวเพื่อนสาวก็มีความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกล่าวว่า  ถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณว่าแต่ละคนจะเป็นเพื่อนบ่าวหรือเพื่อนสาวได้คนละไม่เกิน    ครั้ง หากมากกว่านั้นเชื่อว่าคนที่เป็นเพื่อนบ่าวหรือเพื่อนสาวเกิดนจำนวนนี้จะไม่มีวันได้แต่งงานเลยตลอดชีวิต  ปัจจุบันเพื่อนบ่าวและเพื่อนสาวจะมีเพียง    คนเท่านั้น  ในขณะจัดพิธีจะยืนขนาบเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งข้างซ้ายและขวาฝ่ายละ    คน
ในเช่าตรู่ของวันแต่งงานเจ้าบ่าวจะต้องรีบแต่งตัวอย่างสวยงาม  ชุดเจ้าบ่าว  นิยมนุ่งผ้าโจงกระเบนเหน็บกริชหัวเงินไขว้หลังขมวดไว้กับหางกระเบน  สวมเสื้อนอกสีขาวคอตั้งกระดุมทอง  ๕ เม็ด  ส่วนฝ่ายเจ้าสาวนั้นในตอนเช้าวันที่จะเข้าพิธีแต่งงานหลังจาดแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่หมอเสกไว้แล้วในตอนค่ำของวันสุกดิบเรีบยร้อยแล้ว  เรียกว่า  ชุดเจ้าสาว
นิยมนุ่งผ้าโจงกระเบน  สวมเสื้อแบบแขนทรงกระบอก  สีตามชอบ  มีผ้าสไบคาดเข็มขัดทองเหลืองหรือนาก  ผมถอนไร  หลังจกแต่งตัวเสร็จ  หมอจะทำพิธีชาราศีให้แก่เจ้าสาวอีกครั้ง
 พิธีกรรมในการแต่งงาน
              หลังจากที่ได้รับกำหนดวันประกอบพิธีแต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะมีการเตรียมการสำหรับการแต่งงานไว้ให้พร้อมในทุก ๆ  ด้าน  เช่น
        เตรียมข้าวสาร
ข้าวสารเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน  และเพื่อนฝูงที่มาช่วยงาน 
ดังนั้นทั้ง    ฝ่าย  จึงต้องจัดเตรียมข้าวสารไว้ให้พอ  โดยปกติหารทราบข่างเพื่อนบ้านและญาติมิตรทุกคนจะมาร่วมงาน  และช่วยงานด้วยน้ำใจและความรักใคร่ชอบพอกัน
      เตรียมเงิน
นอกเหนือจากจะต้องเตรียมข้าวสารแล้ว   เงินทองก็มีความจำเป็นมากเพราะต้องจับจ่าย
ใช้สอยในการซื้อสิ่งของเป็นสินสอดทองหมั้น  และใช้อื่น ๆ
      เตรียมเครื่องบริโภคสำหรับผู้มาในงาน
ด้วยเหตุที่ในงานจะมีเพื่อนฝูงญาติมิตรมาร่วมมากเป็นพิเศษจึงต้องเตรียมเครื่องปรุง
อาหาร  เครื่องบริโภค
      เตรียมสถานที่
ที่บ้านของฝ่ายหญิงซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีแต่งงานนั้นต้องมีการเตรียมการต่าง ๆ 
มากเช่นกัน  ดังนั้นฝ่ายชายจึงมักจะให้ญาติมิตรเพื่อนฝูงฝ่ายตนจำนวนมาก ๆ  ไปช่วยเตรียมการท้านของฝ่ายหญิง
            องค์ประกอบในพิธีกรรมที่สำคัญมากที่ฝ่ายหญิงต้องเตรียมให้พร้อมคือ  ห้อง  หรือที่จะใช้ประกอบพิธีซึ่งมีรูปแบบการจัดสิ่งของเครื่องใช้ในพิธีเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวตามจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณ  ในตอนเย็นของวันสุกดิบ  ที่บ้านของฝ่ายชายนอกเหนือจากเลี้ยงอย่างสนุกสนานแล้วจะมีการจัดขันหมากและข้าวของต่างที่จะต้องนำไปในพิธีแต่งงานในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเข้าสู่พิธีแต่งงาน  ฝ่ายเจ้าบ่าวเริ่มเตรียมขบวนแห่ขันหมากที่จะยกไปสู่บ้านเจ้าสาว  โดยทั่วไปการจัดขบวนตามลำดับบุคคลดังนี้  คือ 
       นางเฒ่า
      ผู้อาวุโส  อย่างน้อย    คน
      ผู้ถือขันหมาก    คน  ถือคนละ    ขัน  โดยเดินเรียงตามลำดับบุคคลดังนี้  คือ  ขันหมากหัวเดินนำหน้า  ตามด้วยขันหมากถามและขันหมากต่อ  ตามลำดับ
      ขบวนผู้ถือของเคียง  ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของผู้สูงอ