วิชา พุทธปรัชญา อ.พระมหาเทพรัตน์ อริยวํโส
เรื่องมนุษย์
คำว่ามนุษย์มาจากคำว่า มนะ หรือ มโน ซึ่งแปลว่า ใจ นำไปสนธิกับคำว่า อุษยะ ซึ่งแปลว่า
สูง มนะ+อุษยะ = มนุษย์ มนุษย์จึงแปลว่า ผู้มีใจสูง ดังที่อาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้กล่าวไว้ว่า
“ เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่แววขน ถ้าใจต่ำเป็นได้แต่เพียงคน
ย่อมเสียทีที่ตนได้เกิดมา ”
สารัตถะของมนุษย์คือ “ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบควรเรียกมนุสสา
เพราะทำถูกพูดถูกทุกเวลา เปรมปรีดาคืนวันสุขสันต์จริง ”
เปรียบเทียบมนุษย์ ๕ ประเภท
๑.มนุสฺสเนรยิโก แปลว่า มนุษย์สัตว์นรกคือเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจนั้นเลวทราม ดุร้ายหยาบคายเหมือนสัตว์นรกฉะนั้น
๒.มนุสฺสเปโต แปลว่า มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วยตัณหา อยากอยู่ตลอดเวลาไม่ยอมอิ่มเปรียบเทียบกับเปรตที่ “ปากเท่ารูเข็ม ท้องเท่าภูเขา สูงเท่าต้นตาล ”
๓.มนุสฺสติรจฺฉาโน แปลว่า มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน เดรัจฉาน แปลว่า ผู้ไปขวาง
คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัวเหมือนคน คือ มนุษย์ที่ขวางศีลขวางธรรม มนุษย์ผู้ไรศีลธรรม
คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัวเหมือนคน คือ มนุษย์ที่ขวางศีลขวางธรรม มนุษย์ผู้ไรศีลธรรม
๓.มนุสฺสภูโต แปลว่า เป็นมนุษย์บริบูรณ์คือคนรักษาศีล ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ
ไม่ผิดศีลข้อ “๑ ถึงข้อ ๓” ทั้ง ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภ
ไม่คิดพยาบาท เห็นชอบตามธรรมนองคลองธรรม รวมเป็น ๑๐ ข้อ
๔.มนุสฺสเทโว แปลว่า มนุษย์เทวดา คือ มนุษย์ผู้ที่มี บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ คือ “ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา” และ มีหิริ คือความละอายแก่ใจ มีโอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป
ปัจจัยการเกิดของมุษย์ ๓ ประการ
๑.มารดามีระดู หมายถึง หญิงที่จะตั้งครรภ์ได้ต้องมีไข่ หรืออยู่ในภาวะที่ไข่ตก จึงจะสามารถตั้งครรภ์ขึ้นมาได้
๒.มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน หมายถึง มีหญิง-ชายได้ร่วมประเวณีกัน เพื่อให้ไข่ของฝ่ายหญิงกับสเปอร์มของผู้ชายได้ผสมกัน
๓.มีสัตว์มากำเนิด หมายถึง มีการจุติของวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ก็คือ "ธาตุรู้"นั่นเอง ซึ่งเป็นตัวนามธรรม.
๒.มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน หมายถึง มีหญิง-ชายได้ร่วมประเวณีกัน เพื่อให้ไข่ของฝ่ายหญิงกับสเปอร์มของผู้ชายได้ผสมกัน
๓.มีสัตว์มากำเนิด หมายถึง มีการจุติของวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ก็คือ "ธาตุรู้"นั่นเอง ซึ่งเป็นตัวนามธรรม.
วิวัฒนาการการเกิดขึ้นของโลกและมนุษย์
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องการกำเนิดของมนุษย์ในยุคแรก ซึ่งเกิดจากพวกพรหมที่หมดบุญลงมากินง้วนดิน กินมากเข้ากายก็หยาบ จากนั้นก็มีวิวัฒนาการในด้านทางต่าง ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร การพัฒนาด้านร่างกาย การสร้างบ้านเรือน การประกอบอาชีพ เป็นต้น
จากมนุษย์ยุคแรกที่มีไม่มากนัก ยังแยกกันอยู่ เวลาผ่านไปมนุษย์มีมากขึ้นและอยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นสังคม เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า ความต้องการปัจจัยด้านต่าง ๆ มากขึ้น อกุศลธรรมเกิด มีการแก่งแย่งปัจจัย ๔ เกิดข้อพิพาทขึ้น มีความจำเป็นต้องหาผู้ที่มีความสามารถที่จะปกครองหมู่คณะได้ วรรณะกษัตริย์ คือผู้ที่เป็นใหญ่ในเขตแดนจึงเกิดขึ้น คนบางเหล่าออกบวชมุ่งปฏิบัติธรรมล้างบาป วรรณะพราหมณ์ จึงเกิดขึ้น บางพวกมีครอบครัวประกอบการงาน คนพวกนี้จัดอยู่ใน วรรณะแพศย์ ส่วนพวกที่ทำการล่าสัตว์ ทำไร่ไถนา คนเหล่านี้จัดอยู่ในพวก ศูทร ซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ในหมู่ที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน พวกพราหมณ์ก็ไม่ใช่วรรณะที่ประเสริฐสุด
ก่อนจบพระธรรมเทศนาพระองค์ทรง พระองค์ทรงสรรเสริญธรรมว่าประเสริฐที่สุดในชาตินี้และชาติหน้า ทุกวรรณะหากประพฤติชั่วก็ไปอบาย ปฏิบัติธรรมก็บรรลุนิพพานได้ ธรรมเป็นเครื่องตัดสิน และธรรมเป็นของประเสริฐสุด ผู้สิ้นอาสาวะกิเลสแล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุดในวรรณะทั้งสี่ ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่เทวดา และมนุษย์ทั้งปวง.
(ธมฺเมน หีนา ปสุภิ สมานา เมื่อปราศจากธรรมแล้วคนกับสัตว์ก็เสมอกัน)
องค์ประกอบของมนุษย์ คือ ขันธ์ ๕
ขันธ์๕ แปลได้หลายอย่าง เช่น กอง หมู่ กลุ่ม = กอง๕ หมู่๕ กลุ่ม๕
มนุษย์ประกอบด้วยสองสิ่งคือ “รูป กับ นาม อีกอย่างคือ กาย กับ ใจ”
“รูปหมายถึง ร่างกาย อีก ๔ ข้อที่เหลือ เป็นนาม”
๑.รูปหมายถึงร่างกาย
๒.เวทนาหมายถึงความรู้สึกสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์(อุเบกขา)
๓.สัญญาหมายถึงความจำกำหนดหมาย
๔.สังขารไม่ได้หมายถึงร่างกายแต่หมายถึงการปรุงแต่งดีชั่วบุญบาป
๕.วิญญาณหมายถึงการรับรู้ของจิต
๒.เวทนาหมายถึงความรู้สึกสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์(อุเบกขา)
๓.สัญญาหมายถึงความจำกำหนดหมาย
๔.สังขารไม่ได้หมายถึงร่างกายแต่หมายถึงการปรุงแต่งดีชั่วบุญบาป
๕.วิญญาณหมายถึงการรับรู้ของจิต
การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตตามหลักของพระพุทธศาสนาคือกำเนิด ๔
๑.อัณฑชะ เกิดในไข่ เช่น นก งู
๒.ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น คน แมว หมา
๓.สังเสทชะ เกิดในของเน่า เช่น เชื่อโรค แบคทีเรีย เชื้อรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น