วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทวิเคราะห์ของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
            หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ไว้เสวยวิมุติสุข  คือความสุขที่เกิดจากการพ้นทุกข์ บริเวณรอบต้นศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา 7 สัปดาห์ ทรงพิจารณาวางแผนในการเผยแผ่สัจธรรม ให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจาก พรหมลิขิต มาเป็น กรรมลิขิต
            ขั้นแรกต้องหาบุคคลที่มีสติปัญญาที่พอจะฟังเข้าใจรู้เรื่องรวดเร็วก่อนจึงเดินทางไปเทศนาโปรด พระปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เดินทางด้วยพระบาท 10 วัน พระองค์เทศนาครั้งแรก ชื่อธัมมจักกัปปวัตนสูตร ปรากฏว่าพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก จึงขอบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา วันนั้นจึงมีครบองค์ 3 คือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ เรียกว่า วันอาสาฬหบูชา ส่วนพระอีก 4 รูป ภายหลังก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน จนในที่สุด ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ หรือผู้หมดกิเลสสิ้นเชิง
            จากนั้นเทศนาโปรดยสกุมารซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสีผู้เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือน พร้อมพรรคพวก รวม 55 คน บรรลุอรหันต์ทั้งสิ้น ในพรรษาแรกนั้นเอง
            เมื่อพ้นฤดูฝนก็ประชุมสาวกทั้ง 60 รูป ให้ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและหันมายอมรับนับถือพระพุทธศาสนา โดยให้สาวกยึดอุดมการณ์ว่า เพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน และเพื่ออนุเคราะห์โลก ซึ่งสาวกทั้ง 60 ท่านทำงานได้ผลดีเกินคาด เพราะท่านเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
            พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเมืองราชคฤห์เพื่อโปรดชฏิล 3 พี่น้อง คืออุรุเวลกัสสป นทีกัสสป และคยากัสสป พร้อมบริวาร 1,000 คน เป็นพวกบูชาไฟ ชาวเมืองราชคฤห์เลื่อมใสมาก พระพุทธเจ้าใช้เวลาเทศนาสั่งสอนจนทั้งหมดหันมายมอรับและขอบวชในพระพุทธศาสนา และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
            จากนั้นพระพุทธเจ้านำบริวารทั้งหมดเข้าเมืองราชคฤห์ เทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสาร ประกาศตนเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา และสร้างวัดเวฬุวันเป็นวัดแห่งแรกในศาสนา พร้อมข้าราชบริพาร ชาวเมืองราชคฤห์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
            ระหว่างประทับที่กรุงราชคฤห์นี้พระพุทธองค์ได้สาวกที่สำคัญยิ่ง 2 รูป คือ พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา และพระโมคคัลลานะ ได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ทั้งคู่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปทั่วชมพูทวีป
            ระยะแรกพระสาวกล้วนเป็นชนชั้นสูงทั้งสิ้น และทรงมีพระเจ้าพิมพิสารกาตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรมคธเป็นองค์อุปถัมภ์ พระองค์ไม่กีดกั้นคนไม่ว่าอยู่ในวรรณะใด เมื่อเข้ามาบวชทุกคนเหมือนกัน ถือเป็นศากยบุตร คือ ลูกของพระศากยมุนี เหมือนกันทุกคน  ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะอีกต่อไป แต่การรับพวกวรรณะศูทรซึ่งนับเป็นชนชั้นต่ำเข้ามานั้น ย่อมเป็นที่รังเกียจของพวกชั้นสูงว่าทำไมสาวกของพระพุทธเจ้าจึงมีกิริยามารยาทไพร่เช่นนี้ พระองค์จึงแก้ปัญหาโดยสอน สมบัติผู้ดี ภาษาบาลีเรียกว่า เสขิยวัตร ถึง 75 ข้อ เป็นเรื่องกิริยามารยาท ทำให้พวกศูทรสามารถปรับปรุงแก้ไขตนเองเป็นผู้ดีได้เช่นกัน มีโอกาสศึกษาเล่นเรียนพระธรรมจนเป็นอริยบุคคลไม่ต่างจากวรรณะอื่นๆ เลย พระพุทธองค์มีความเสมอภาคกัน รักษาศีลเท่าเทียมกัน ต้องใช้ผ้าบังสุกุลเหมือนกัน บิณฑบาตเลี้ยงชีพเหมือนกัน มีคติความเชื่อเหมือนกัน คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ต้องรับผลกรรมนั้น นี้คือ กรรมลิขิต
            ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิวัติสังคมอินเดียของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่มวลมนุษย์โลกโดยแท้ ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อช่วยเหลือสังคมให้เป็นอิสระจากพันธนาการ พรหมลิขิต โดยมิได้ย่อท้อ ทรงรับปัจจัย 4 เพียงเล็กน้อย เพื่อยังชีพ แต่เป็นผู้ให้โดยไม่มีขอบเขต ทรงโน้มน้าวสาวกให้เป็นผู้เสียสละ ทรงสั่งสอนโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ เพราะทรงสอนว่า บุคลจะชั่วดีเพราะชาติกำเนิดก็หาไม่ แต่จะชั่วหรือดี เพราะกรรมคือการกระทำของตนเท่านั้น ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนหนึ่งจะทำให้อีกคนหนึ่งบริสุทธิ์ไม่ได้
            พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาสั่งสอนโดยไม่คำนึงถึงชนชั้นวรรณะ สาวกของพระองค์ล้วนมีอำนาจมาก เช่น พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธ พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล กษัตริย์ลิจฉวี แห่งแคว้นวัชชี และยังมีเศรษฐี มหาเศรษฐีมากมาย ทำให้งานยกฐานะทางสังคมและพัฒนาสังคมให้เท่าเทียมกันได้ผลเกินคาดหมาย
            พระองค์ยังยกฐานะของสตรีเท่าเทียมบุรุษ เช่น ทรงอณุญาตให้สตรีบวชเป็นภิกษุณีและมีจำนวนมากที่สามารถบรรลุโสดาบันถึงพระอรหันต์
นอกจากนี้ การทำงานของพระองค์สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ก็ด้วยความร่วมมือร่วมใจจากบรรดาสาวกทั้งภิกษุ ภิกษุฯ อุบาสก และอุบาสิกา แม้มีอุปสรรคบ้างก็น้อยกว่าศาสนาอื่นๆ ในอินเดีย ซึ่งพระองค์มีเวลาเพียง 45 ปี ในการเปลี่ยนความเชื่อเรื่อง พรหมลิขิต ที่ฝังรากลึกนับพันปี มาเชื่อใน กรรมลิขิต แทน แต่จะให้หมดไปสิ้นเชิงจึงเป็นไปไม่ได้  แต่พระองค์ก็ทำงานจนวาระสุดท้ายที่ทรงเทศนาสั่งสอนด้วยพระองค์เอง จากนั้นเสด็จปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน 6 ตรงกับวันที่พระองค์ประสูติ  และตรัสู้ นับเป็นมหัศจรรย์ที่วาระทั้ง 3 มาเกิดขึ้นในวันเดียวกัน จึงเรียกวันนี้ว่า วันวิสาขบูชา สถานที่ที่พระองค์นิพพานคือเมืองกุสินารา บริเวณที่นิพพาน เรียกว่า กาเซีย  จนบัดนี้ล่วงเวลามา 2540 ปีแล้ว พระธรรมของพระองค์ก็ยังสถิตสถาพรอยู่ในโลก และมีผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวตะวันตกมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะทรงสอนอย่าสงมีเหตุผล มีอิสระในการเชื่อและปฏิบัติ มิได้บังคับให้หลงงมงาย นับว่าพระพุทธเจ้าทรงวางรากฐานในเหล่าสาวก และพุทธ   ศาสนิชนควรเจริญรอยตามพระยุคลบาทอย่างต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น