แต่งงานวัฒนธรรมไทยพุทธ
ครูสมเกียรติ คำแหง
ประเพณีแต่งงานในภาคใต้แต่ละถิ่นเรียกไม่เหมือนกัน บางท้องถิ่นเรียกว่า ไหว้เมีย
บางท้องถิ่นเรียกว่า กินเหนียว
บางท้องถิ่นเรียกว่า วันไหว้
คำเหล่านี้ ตามชนบทบางแห่งยังมีใช้กันอยู่
แต่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนิยมใช้คำว่า แต่งงาน
แต่เดิมชาวภาคใต้ถือเอาการแต่งงานเป็นเครื่องวัดความบรรลุนิติภาวะหรือความเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์
และผู้ที่ผ่านการแต่งงานแล้วจะเป็นที่เชื่อถือของสังคมมากกว่าตอนที่ยังเป็นโสด
ทั้งนี้เพราะชายที่จะแต่งงานได้จะต้องได้รับการบวชเรียนเสียก่อน
การบวชทำให้มีโอกาสได้ศึกษาและได้ฝึกบ่มนิสัยที่ดีงามได้ขัดเกลาอารมณ์และความคิดให้สุขุมรอบคอบเป็นแนวทางในการครองตนเองและเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี
ส่วนใหญ่เชื่อด้วยว่าการบวชเรียนได้ช่วยให้พ่อแม่ได้พลอยเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์
ความเชื่อนี้ช่วยบังคับให้ผู้ที่จะแต่งงานจำต้องบวชเรียนเสียก่อน
ด้วยเหตุที่การแต่งงานเป็นการก้าวเข้าสู่ช่วงที่สำคัญที่สุดทั้งฝ่ายหยิงและชายต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน
ต้องวางแผนในการใช้ชีวิตคู่ การแต่งงานจึงต้องมีกระบวนการและพิธีการเพื่อไม่ให้บกพร่องด้วยประการทั้งปวง
การแต่งงานของชาวภาคใต้ จึงมีขั้นตอนที่เป็นไปตามค่านิยม
ความเชื่อและประเพณีนิยม ดังต่อไปนี้
(๑) การเกี่ยวพาราสีและการผูกสัมพันธ์
(๒) การทาบทาม
(๓) การสู่ขอ
(๔) การแต่งงาน
การผูกสัมพันธ์ การทาบทาม (แยบเมีย)
การผูกสัมพันธ์เริ่มต้นจากกการแสวงหาคู่ที่ตนถูกใจ ถ้าอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน หนุ่มก็พอรู้ว่าบ้านใดมีลูกสาวหรือไม่
ส่วนสาวก็พอรู้ว่ามีหนุ่มใดบ้าง คนไหนเป็นอย่างไร
ถ้าเกิดพอใจก็เริ่มหาทางผูกสัมพันธ์ เรียกการที่หนุ่มสร้างสัมพันธ์กับสาวว่า บ้าหญิง ถิ่นเรียกว่าบ้าเมีย
แต่ต้องระวังไม่ให้ญาติฝ่ายหญิงล่วงรู้เป็นอันขาด เพราะว่าอาจถูกทำร้ายร่างกายได้เช่น ด้วยพร้าหรือขวาน หรือแทงด้วยมีด
อันตรายดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเหตุนี้การที่หนุ่มสาวจะเลือกคู่ได้ผู้ที่ต่างคนต่างพอใจ
เว้นแต่แอบพบกันในที่ลับตาคนด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ซึ่งมักอาศัยแม่สื่อหรือ แม่ชัก
คอยให้ความช่วยเหลือการพบกับอีกลักษณะหนึ่งคือพบกันในเวลากลางคืน
การนัดแบบนี้ฝ่ายชายมักมีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย ๑ คน เพื่อคอยระวังต้นทางและคอยช่วยเหลือถ้าเกิดอันตรายขึ้น
ฝ่ายหนุ่มจะต้องแสดงรหัสตามที่ตกลงกันไว้ เช่น เข้าไปใต้ถุนบ้านตรงกับที่นอนของสาวใช้มือหรือไม้แหย่ขึ้นไปตามช่องฟากหรือช่องพื้น
เรียกการแหย่ให้ผู้หญิงรู้ตัวเช่นนี้เรียกว่า แยงหญิง ต้องแยงตามตำแหน่งที่ได้นัดกับสาวไว้จนจนถูกตัวสาว
แล้วสาวจะปฏิบัติต่อไปใน ๓
วิธี คือ
อาจลุกขึ้นถอดกลอนประตูเพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มได้ขึ้นไปพลอดรัก
หรือวิธีสุดท้ายสาวจะไปเปิดประตูลงไปข้างล่างทำทีว่าไปเ เข้าห้องน้ำ
ลงไปพบกับหนุ่มตามนัด การแยงหญิงนี้ใช้กันเพียงบางคู่
หรือบางคนเท่านั้น หนุ่มบางรายไม่ได้นัดแนะสาวไว้ล่วงหน้า
แอบไปแยงหญิงด้วยความคึกคะนองก็มี การที่ชายแอบขึ้นไปหาหญิงถึงห้องนอน
เรียกว่า
ขึ้นหญิง หากหนุ่มไม่ต้องใจสาวดใดในละแวกบ้านเดียวกันก็จะหาโอกาสไปบ้าหญิงต่างหมู่บ้านต่างตำบล
ซึ่งจะเกิดใน ๒ กรณี กรณีแรก เมื่อได้พบสาวในงานต่าง
ๆ เมื่อพบสาวที่ต้องตาก็จะพาเพื่อเดินตาม
สาวไปไหนหนุ่มไปนั้น จนสาวรู้ตัว
หนุ่มก็จะสืบจากคนที่พอรู้จัก เมื้อทราบว่าสาวนั้นอยู่บ้านใดเป็นลูกหลานใครพอเป็นเค้าก็หาโอกาสไปบ้าหญิงตามที่รู้จักนั้น
โดยอาศัย แม่ชัก ช่วย อาจหาโอกาสนัดแนะไปที่บ้านใดบ้านหนึ่งที่หนุ่มไปมาหาสู่ได้
หรืออีกกรณีหนึ่งหนุ่มไปเที่ยวบ้านญาติหรือบ้านเพื่อนที่อยู่ต่างบ้าน
โดยเจตนาไปเสาะหาสาวที่ถูกใจด้วยการบอกกล่าวญาติมิตรไว้ล่วงหน้า
เรียกว่า ไปแลหญิง หากเป็นที่พอใจก็จะบอกญาติผู้ใหญ่ให้ไปสู่ขอตามประเพณีต่อไป ในกรณีเช่นนี้มักไม่คำนึงถึงฝ่ายหญิงจะชอบตนหรือไม่ เพียงแต่สืบเสาะให้ทราบว่าผู้หญิงที่ตนพึงใจนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
การทาบทาม(แยบ)
เมื่อฝ่ายหนุ่มต่างเห็นชอบต้องกันแล้วว่าจะเลือกหญิงคนใดแต่งงานด้วย ก็จะดำเนินการทาบทามตามประเพณี เรียกการทาบทามว่า แยบ โดยปกติคนที่จะไปแยบมักเป็นญาติฝ่ายชายที่เป็นผู้หญิงที่มีเกียรติ
แต่มักจะเป็นผู้อาวุโสหรือ นางเฒ่า
หรือ มีแก่ ก่อนที่นางเฒ่าจะไปทาบทามจะต้องดูฤกษ์ยามเสียก่อนว่าวันเวลาใดจึงจะเหมาะ
โดยเลือกวันดี ซึงถือว่าถ้าไปทาบทามในวันนั้นจะประสบความสำเร็จทุกประการ และยังทราบถึงนิสัยของฝ่ายหญิงอีกด้วย ดังความเชื่อต่อไปนี้
๑.
ถ้าทาบทามหญิงในเดือนอ้าย จะได้หญิงเป็นคนปากจัด
เป็นหญิงไม่ดี
๒.
ถ้าทาบทามหญิงในเดือนยี่ จะได้หญิงที่มีความขยันหมั่นเพียร
๓.
ถ้าทาบทามหญิงในเดือน ๓ จะได้หญิงที่มีอายุไม่ยืนจะตายไปในเวลาอันรวดเร็ว
๔.
ถ้าทาบทามหญิงในเดือน ๔ จะได้หญิงที่ดี มีความสุภาพเรียบร้อย
๕.
ถ้าทาบทามหญิงในเดือน ๕ จะได้หญิงที่ปากกล้า
๖.
ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน ๖
จะได้ผู้ที่มีปัญญาความรู้ดี
๗.
ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน ๗
จะได้ผู้หญิงที่มีโรคร้ายไข้เจ็บอยู่เสมอ
๘.
ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน ๙
จะได้ผู้หญิงที่คลอดลูกลำบาก
๙.
ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน ๑๐
จะได้ผู้หญิงที่ปากจัด ชอกเถียงสามี
๑๐. ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน ๑๑ จะได้ผู้หญิงที่เป็นคนชอบทุกข์ใจอยู่เสมอ
๑๑. ถ้าทาบทามผู้หญิงในเดือน ๑๒ จะได้ผู้หญิงที่เป็นคนมีปัญญา
ความรู้
เครื่องประกอบที่นำไปแยบ แต่ละถิ่นถือปฏิบัติแตกต่างกันไป แต่เรียกตรงกันว่า
ขันหมากแยบ โดยจัดหมากและพลูลงในขันหมาก ซึ่งมักใช้ขันลงหิน หรือถ้ามีฐานะดีอาจเป็นขันทองคำ
แล้วจึงเอาผ้าหุ้มขันหมาก และมัดตรงยอดกรวยให้สวยงาม
หลังจากจัดขันหมากเรียบร้อยแล้ว นางเฒ่าจะบนบานสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ตนเคารพนับถือช่วยให้ทาบทามสำเร็จสมประสงค์
บางรายหาของขลังมาชวยเช่นต้องเสกแป้งผักหน้า เสกขี้ผึ้งทาปาก เพื่อให้เจรจาสำเร็จ
เมื่อนางเฒ่าหรือมีแก่ไปถึงบ้านของฝ่ายหญิง มีการเชื่อเชิญและตอนรับกันตามธรรมเนียมแล้ว ก็จะเริ่มต้นพูดจากันเริ่มด้วยการถามทุกข์สุข
กล่าวคำชมเชยต่าง ๆ ในที่สุดก็พูดนำเข้าสู่เรื่องสำคัญโดยกล่าวเป็นทำนองเปรียบเทียบว่า
รู้ว่าบ้านนี้มีน้ำเต้า พันธ์ดีอยากจะมาขอไปทำพันธุ์บ้าง
การเปรียบเทียบหญิงสาวที่ต้องการให้แต่งงานเป็นน้ำเต้าทรามแกง
เป็นประเพณีสืบต่อกันมา เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงตอบไม่ขัดข้อง
แต่ต้องถามเจ้าตัวดูก่อน บางที่อาจจะเรียกลูกสาวมาถามกันต่อหน้า
ในกรณีที่มั่นใจว่าสาวจะไม่ปฏิเสธ สาวก็จะตอบว่า
แล้วแต่แม่กับพ่อ ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าไม่ขัดข้อง
ปัญหาสืบเนื่องจากการแยบมีอยู่เสมอถ้าเกิดความคิดเห็นขัดแย้งกัน
เช่นถ้าหนุ่มสาวพอใจกันอย่างมากแต่ถูกพ่อแม่กีดกันอาจจะนัดแนะให้ฝ่ายหญิงหนีตามกัน
กรณีเหล่านี้ก่อให้เกิดความบาดหมางน้ำใจกันอยู่ระยะหนึ่งหรืออาจตลอดไป
เพราะสมัยก่อนประเพณีการหวงลูกสาวและประเพณีการคลุมถุงชนทำให้คาดการณ์ได้ยากกว่าการแยบจะต้องประสบความสำเร็จเสมอ
การสู่ขอ
การสู่ขอชาวภาคใต้เรียกว่า ขอเมีย
เป็นการกระทำ ๒ ขั้นตอนควบคู่กันไปคือการสู่ขอและการหมั้น แต่ส่วนมากถือว่าการแยบเป็นการสู่ขอไปในตัว
โดยปกติฝ่ายชายไปแยบ
( ทาบทาม ) ฝ่ายหญิง และทราบแน่นอนแล้วว่าฝ่ายหญิงไม่รังเกียจ ฝ่ายชายก็จะจัดพิธีสู่ขอตามประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา
วันสู่ขอที่ถือปฏิบัติกันมา ไม่นิยมจัดกันในวันอังคาร วันพุธและวันเสาร์
ส่วนเดือนที่ไม่นิยมจัดคือเดือนอ้าย เดือน
๕ และเดือน ๗
เดือนที่นิยมคือ เดือนยี่ เดือน ๓ เดือน
๔ เดือน ๖
เดือน ๙ และเดือน
๑๑ สำหรับเดือน ๘ เดือน ๑๐
เดือน ๑๒ เป็นเดือนปานกลางไม่ดีไม่ชั่วจะทำก็ได้
ฤกษ์ยามสู่ขอตามวันสู่ขอข้างขึ้นข้างแรม มีหลายตำราที่นิยมกันมาก คือ
๑.
วันขึ้น ๑
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ดี ปลูกบ้านดี
๒.
วันขึ้น ๒
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ดี แต่ห้ามปลูกบ้านดี
๓.
วันขึ้น ๔
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ดี ปลูกบ้านดี
๔.
วันขึ้น ๕
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดีดี ห่มปลูกบ้านปลูกบ้านดี และอย่าเมียดี
๕.
วันขึ้น ๖
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ดี ปลูกบ้านดีและขอเมียดี
๖.
วันขึ้น ๗
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี อย่าปลูกบ้านและอย่าขอเมีย
๗.
วันขึ้น ๘
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี อย่าปลูกบ้าน และขอเมีย
๘.
วันขึ้น ๙
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ดี ปลูกบ้านดี และขอเมียดี
๙.
วันขึ้น ๑๐
ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี อย่าปลูกบ้าน และขอเมีย
๑๐.
วันขึ้น ๑๑ ค่ำ
ทำการมงคลใด ๆ ดี ปลูกบ้านดีและขอเมียดี
๑๑.
วันขึ้น ๑๒ ค่ำ
ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี อย่าปลูกบ้าน
และขอเมีย
๑๒.
วันขึ้น ๑๓ค่ำ ทำการมงคลใด ๆ ดี ปลูกบ้านดี และขอเมีย ดี
๑๓.
วันขึ้น ๑๔ ค่ำ
ทำการมงคลใด ๆ ไม่ดี อย่าปลูกบ้านและขอเมีย
๑๔.
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ
อย่าทำการมงคลใด ๆมิดี
๑๕.
วันแรม ๑ ค่ำ
อย่าทำการมงคลใด ๆ มิดี
๑๖.
วันแรม ๒ ค่ำ
อย่าปลูกบ้าน และอย่าขอเมีย
และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๑๗.
วันแรม ๓ ค่ำ
อย่าทำการมงคลใด ๆ มิดี
๑๘.
วันแรม ๔ ค่ำ
ปลูกบ้านดี ทำการมงคลดี แต่อย่าขอเมีย
๑๙.
วันแรม ๕ ค่ำ
อย่าปลูกบ้าน อย่าขอเมีย และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๐.
วันแรม ๖ ค่ำ
อย่าปลูกบ้าน และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๑.
วันแรม ๗ ค่ำ อย่าปลูกบ้าน อย่าขอเมีย และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๒.
วันแรม ๘ ค่ำ
ปลูกบ้านดี ขอเมียดี ทำการมงคลใด ๆ ดี
๒๓.
วันแรม ๙ ค่ำ
อย่าปลูกบ้านและอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๔.
วันแรม ๑๐ ค่ำ
อย่าปลูกบ้านและอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๕.
วันแรม ๑๑ ค่ำ
ปลูกบ้านดี ขอเมียดี และทำการมงคลใด ๆ ดี
๒๖.
วันแรม ๑๒ ค่ำ
อย่าปลูกบ้าน อย่าขอเมีย และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๗.
วันแรม ๑๓ ค่ำ
อย่าปลูกบ้าน อย่าขอเมีย และอย่าทำการมงคลใด ๆ
๒๘.
วันแรม ๑๔ ค่ำ
ปลูกบ้านดี ขอเมียดี และทำการมงคลใดๆดี
๒๙.
วันแรม ๑๕ ค่ำ
อย่าทำการมงคลใด ๆ
วันแต่งงาน
เมื่อการสู่ขอผ่านไปอย่างเรียบร้อย การอาสาเป็นที่พอใจมั่นว่าหนุ่มสาวคู่นั้นจะเป็นคู่ครองที่เหมาะสมแน่นอนขั้นตอ่ไปก็เป็การแต่งงานซึ่งเรียกว่า
ไหว้เมีย หรือ วันไหว้ ทั้ง ๒ ฝ่าย
ก็จะต้องหาฤกษ์ยามและเตรียมการอื่น ๆ ให้พร้อม
ฤกษ์ยามแต่งงานนอกจากจะเลือกเอาวันที่เหมาะแก่การทำการมงคลดังกล่าวไว้ในเรื่องการสู่ขอแล้ว
ที่เคร่งครัดมาก ๆ ซึ่งมีหลายตำรา
อย่างเช่นตำราหนึ่งเขียนไว้เป็นร้อยกรองดังนี้
วันฤกษ์ดีเหมาะแก่การประกอบพิธีมงคล คือ
วันอาทิตย์สิบสี่ มีมงคล
จันทร์สิบสอง ครองตนเป็นแก่นสาร
สิบสามค่ำวันอังคาร อโรการ
พุธวานสี่ค่ำ อันอำไพ
พฤหัสเจ็ดค่ำ ศุภดิถี
วันศุกร์สิบค่ำ ดีมีโชคชัย
ปราศจากภัยพูนผลเป็นมงคล
อาทิตย์สิบเอ็ด
จันทร์ห้า นั้นว่าดี
อังคารนั้นสิบสี่ ดิถีดี
พุธสิบค่ำ ครบประจบจวน
พฤหัสบดีส่วนเก้าค่ำ เป็นสำคำญ
ศุกร์สิบเอ็ด เสร็จศุภดิถี
วันเสาร์สี่ค่ำ เลิศประเสริฐสรรค์
วันฤกษ์ไม่ดี ไม่เหมาะแก่การประกอบพิธีมงคล
คือ
อาทิตย์สี่
จันทร์หก ตกที่ร้าย
อังคารหมายค่ำหนึ่ง ไม่พึงประสงค์
วันพุธสาม พฤหัสแปด
ไม่ตกลง
ศุกร์ลงเจ็ดค่ำ ร่ำพิไร
วันเสาร์หนึ่งค่ำ นั้นสำสาม
จะเข็ดข้ามวันไม่ดีมีทุกข์ใหญ่
อาทิตย์สิบสอง จันทร์สิบเอ็ด
เจ็ดอังคาร
ควรคิดอ่านหลบหลีกปลีกตัวหนี
พุธสามค่ำ นั่นหนาว่าไม่ดี
พฤหัสบดีหก ศุกร์แปด
ล้วนมีภัย
ส่วนวันเสาร์เก้าค่ำ ห้ามเด็ดขาด
อย่าประมาทวันร้ายนั้นไม่ไหว
ขันหมาก
สำหรับขันหมากขอ ตามแบบดั้งเดิมของภาคใต้
ประกอบด้วยขันหมาก ๓ ขัน คือ
��� ขันหมากหัว
จำนวน ๑ ขัน
ขันหมากหัวนี้บางทีเรียกว่า ขันหมากพลู เพราะมักจะใช้บรรจุหมากพลูเป็นสำคัญ
ใช้ขันทองคำหรือขันลงหิน มีขนาดใหญ่ สิ่งที่ใช้บรรจุขันหมากหัว
แบบโบราณแท้มีดังนี้
๑.๑ ใบกล้วยทอง ใช้สำหรับรองก้นขันชั้นล่างสุด มักจะให้หมอลงยันตร์ที่ใบกล้วยทองดังกล่าวนี้
การใช้ใบกล้วยทองมารองที่ก้นขันคงจะต้องการเคล็ดว่า ให้ชายหญิงที่ปองรักกันนี้ร่ำรวยมีทอง และให้ครองรักกันยั่งยืนเช่นใบกล้วย
๑.๒ ใบยอ จำนวน
๓ ใบ
ใช้สำหรับรองก้นขันชั้นบนขึ้นมา มักจะให้หมอลงยันตร์ซึ่งเรียกว่า พลายงามตามโขลง การนำใบยอมาใช้ก็ดี
และการใช้ยันตร์ดังกล่าวนี้ก็ดี ล้วนแต่มีเจตนาให้คนรัก
คงจะต้องการให้ฝ่ายหญิงมีความรักเมตตา เอ็นดูในตัวของฝ่ายชาย
๑.๓ ใบทองหลาง จำนวน ๓ ใบ
ใช้สำหรับรองก้นขันชั้นบนสุดถัดขึ้นมากใบยอ มักจะให้หมอลงยันตร์ ซึ่งเรียกว่า กาจับหลัก การนำใบทองหลางมาใช้คงจะเอาเคล็ดของคำว่า
ทอง เช่นเดียวกันกับการใช้ใบกล้วยมอง ทั้งนี้คงให้คู่รักมีความร่ำรวยทำกินบังเกิด
ส่วนการลงยันตร์กาจับหลัก คงจะมีเจตนาให้หญิงชายทั้งสองรักกันยั่งยืน ขันหมากหัวนี้เมื่อบรรจุสิ่งของต่างๆ เสร็จแล้วจะห่อด้วยผ้าขาว
และมักให้ผู้หญิงซึ่งเป็นญาติชั้นผู้ใหญ่ของฝ่ายชายเป็นผู้ถือไป
๒ ขันหมากถาม จำนวน ๑ ขัน
เป็นขันทองคำหรือขันลงหินขนาดกลาง ใช้เพื่อบรรจุขนมต่าง ๆ เช่น ขนมถั่วตัด
ขนมปังกรอบ ขนมไข่ ขนมเปีย เป็นต้น
ขันหมากถามนี้หุ้มด้วยผ้าขาวเช่นเดียวกัน เป็นขันหมากที่ใช้เป็นนัยว่าถามฝ่ายหญิงว่าจะยองยกบุตรสาวของตนให้แก่ฝ่ายชายหรือไม่
๓ ขันหมากต่อ จำนวน ๑ ขัน
เป็นขันทองคำหรือขันลงหินที่มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อใช้บรรจุเครื่องหอม และเครื่อง
ประดับต่าง ๆ เช่นน้ำหอม สบู่ แป้ง
หวี กระจก เป็นต้น
ทำนองจะเป็นขวัญสำหรับฝ่ายหญิง เป็นขันหมากที่ใช้เป็นนัยว่าจะขอต่อรองหากว่าฝ่ายหญิงแสดงสัญลักษณ์มาว่าไม่เต็มใจจะยกบุตรสาวให้แก่ฝ่ายชายที่มาสู้ขอ
เมื่อเตรียมขันหมากทั้ง ๓ พร้อมแล้วและได้เวลาฤกษ์ดี นางเฒ่าออกเดินทางนำหน้าพร้อมด้วยเชี่ยนหมากเฒ่า
และมีผู้ติดตามซึ่งเป็นผู้หญิงที่มีศักดิ์ศรีและเป็นที่นับถือของคนทั่วไป
ใกล้เคียงกับนางเฒ่าอีกประมาณ ๓
คน โดยคนหนึ่งถือขันหมากหัวและอีก
๒ คนถือถือขันหมากถามและขันหมากต่อ
ในขณะที่เดินทางหากจำเป็นต้องผ่านบ้านใดถ้าบ้านนั้นมีลูกสาวที่ยังโสดอยู่นางเฒ่าต้องจัดขันหมากเพื่อขออนุญาตและขอโทษเจ้าบ้าน
บ้านละหนึ่ง ๑ คำทุกบ้านตลอดทางผ่าน ตามธรรมเนียมและความเชื่อที่กล่าวมาแต่ต้น
ครั้นไปถึงบ้านฝ่ายหญิงนางเฒ่าจะเรียกเจ้าบ้าน เจ้าบ้านจะออกมาต้อนรับและเชิญขึ้นนั่งบนบ้าน พร้อมกับยกเชี่ยนหมากและยกขันน้ำมารับรอง
เมื่อนั่งคุยกันได้สักครู่นางเฒ่าจะยื่นขันหมากให้ฝ่ายหญิง
ข้างฝ่ายหญิงนั้นปกติแม่ของหญิงสาวมักจะออกมาเป็นธุระ แม่ของผู้หญิงรับขันหมากแล้ววางไว้แล้วจะยกข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูกัน
หลังจากเลี้ยวอาห���รแล้วแม่ของฝ่ายหญิงจะเริ่มแก้ขันหมากโดยจะเริ่มแก้ที่ขันหมากหัวก่อน แล้วหยิบหมากพลูในขันหมากหัวไว้จำนวนหนึ่งของหมากพลู ขนม และสิ่งของต่างๆ
ในขันหมากทั้งสามที่แม่ของฝ่ายหญิงหยิบไปนั้นล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่บอกให้นางเฒ่าทราบทันทีโดยไม่ต้องพูดจาว่าฝ่ายหญิงพอใจที่จะยกบุตรสาวของตนให้แก่ผู้ที่มาสู่ขอหรือไม่
กล่าวคือ
๑ ) ถ้าฝ่ายหญิงพอใจที่จะยกบุตรสาวให้ เขาจะหยิบเอาหมากพลูในขันหมากหัวไว้เกือบหมดทั้งขัน จะคงไว้ในขันสำหรับให้นางเฒ่านำกลับไปอภินันทนาการเจ้าของขันตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อกันมา
๒ ) ถ้าฝ่ายหญิงพอใจที่จะยกบุตรสาวให้ เขาจะหยิบเอาขนมในขันหมากถามจนเกือบหมด คงไว้นั้นขัน
๒ – ๓ ชิ้นเท่านั้น
๓ ) ถ้าฝ่ายหญิงพอใจที่จะยกบุตรสาวให้ เขาจะหยิบเอาเครื่องหอมและเครื่องแต่งกายในขันหมากต่อทั้งหมด
หากฝ่ายหญิงแสดงอาการให้นางเฒ่ารู้ว่าเขามีเจตนาจะ ตัด การสู่ขอครั้งนี้ นางเฒ่าจะลากลับทั้งคณะ แล้วจะเตรียมตัวกลับไปบ้านฝ่ายหญิงอีกครั้งภายใน
๓วัน หรือ ๗
วัน นับจากการไปสู่ขอครั้งก่อน
การไปครั้งใหม่นี้นำเฉพาะขันหมากต่อที่ต้องนำกลับมาในครั้งแรกไปเท่านั้น
นางเฒ่าและคณะจะกลับและไปครั้งใหม่ได้อีกในกำหนดเดิม ตามธรรมเนียมของปักษ์ใต้ ให้นางเฒ่าต่อรองเช่นนี้ได้ไม่เกิน
๓ ครั้ง หากครั้งที่
๓ ถูกปฏิเสธอีกนางเฒ่าจะต้องเลิก ต่อ และอาจจะคิดอ่านไปสู่ขอผู้หญิงรายอื่นต่อไป
ในกรณีที่การสู่ขอนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่นโดยตลอดและมีการหมั้นพร้อมกันไปในตัว การไปสู่ขอนั้นจะมีชายที่จะเป็นเจ้าบ่าวร่วมเดินทางไปด้วย ผู้เฒ่าของฝ่ายชายเริ่มกล่าวนำขึ้นก่อนในทำนองว่า วันนี้วันดีได้มาสู่ขอน้ำเต้าไปทำพันธุ์ ฝ่ายหญิงตอบในทำนองว่า
บ้านนี้ยินดีให้น้ำเต้าไปทำพันธุ์ แล้วผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะนำสาวออกมาสู่พิธี
ภายหลังการสู่ขอและการหมั้นแล้ว ผู้ชายก็หมักมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง ในฐานะเตรียมเป็นลูกเขยเป็นเวลาหลายเดือน
หรือเป็นแรมปีบางแห่งเรียกว่า ฝากบำเรอ บางท้องถิ่นเรียกว่า
อาสา เช่น ทำนา ทำไร่ ทำสวนตามลักษณะอาชีพของพ่อแม่ฝ่ายหญิง
บางรายฝ่ายหญิงมอบที่ดินให้ลูกสาวจึงต้องปลูกเรือนหอไว้อยู่อาศัย
หรือแต่งงาน อีกประการหนึ่งเพื่อเป็นการศึกษาอุปนิสัยใจคอที่แท้จริงด้วยกันทั้ง
๒ ฝ่าย
เครื่องเซ่นวักตักแตน
เครื่องเซ่นวักตักแตนนี้ใช้สำหรับบูชาครูหมอและตายายของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
เครื่องเซ่นวักตักแตน ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
คือ
กล้วย ๑ หวี
ไก่ต้ม ๑ ตัว
เรียกว่า ไก่วักด้าม
อ้อย ๓ ท่อน
หมาก ๓ คำ
นอกจากนี้อาจจะมีสิ่งของอย่างอื่นที่ฝ่ายชายเห็นชมควรจะนำไปด้วยก็ได้
เช่น
๑) ดอกไม้ ธูปเทียน
และธูปเทียนแพ ใช้สำหรับบูชาพระ
และบูชาตายายของฝ่ายเจ้าสาว
๒) ของเครื่องเคียง ซึ่งประกอบด้วยขนมต่าง ๆ เช่น ขนมที่ทำด้วยถั่วงา ส้ม และมะพร้าวอ่อน
๓)
เชี่ยนหมากเฒ่า ซึ่งเป็นเชี่ยนหมากประจำตัวเจ้าบ่าว
และนางเฒ่า
๔)
ผ้าสำหรับไหว้พ่อแม่เจ้าสาว
ส่วนฝ่ายหญิงนอกจากจะต้องเตรียมสถานที่ในการประกอบพิธีแล้วยังต้องเตรียมสิ่งของ
ใช้สำหรับประกอบพิธีตอนกราบหมอนด้วย
ไสยศาสตร์ในพิธีแต่งงาน
ในตอนค่ำของวันสุกดิบนี้เจ้าสาวจะต้องเชิญหมอผู้ทรงวิทยาคุณมาปรพกอบพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย
ซึ่งพิธีดังกล่าวจะดำเนินไปตามลำดับดังนี้ คือ
๑ ) การเสกแป้งและเสกน้ำหมอ
พิธีกรรมตอนนี้เริ่มด้วยหมอจะจับตลับแป้งและตลับน้ำหอมที่เจ้าสาวจะใช้ทาในตอนเช้ามาเสกด้วยแวทมนตร์คาถา
เพื่อให้แป้งและน้ำหอมนั้นบันดาบาลให้เจ้าสาวมีเสน่ห์ มีความผุดผาด สวยงามขึ้น ใครเห็นใครรัก ใครเห็นใครชม คาถาที่ใช้เสกแป้งและน้ำมันหอมที่หมอภาวนาในขณะประกอบพิธี คือ
ออ อา ออ
แอ ออรัก อองาม
นะออ ยอลือ
แป้งและน้ำมันหอมที่เสกแล้วนี้ให้เจ้าสาวเก็บไว้สำหรับทาด้วยตนเองในตอนเช้าของวันที่จะเข้าพิธีแต่งงาน
๒) การปลุกร่าง
เมื่อหมอทำพิธีเสกแป้งและน้ำหอมเสร็จแล้ว หมอจะทำพิธีปลุกร่างเจ้าสาว โดยให้
เจ้าสาวยืนตรงหน้าแล้วหมอจะภาวนาคาถา ในขณะที่ภาวนาคาถาหมอจะลูบไปตามตัวเจ้าสาวโดยตั้งต้นที่เท้าของเจ้าสาวแล้วลูบขึ้นไปจนถึงศีรษะ
พิธีกรรมตอนนี้เชื่อว่าจะทำให้เจ้าสาวมีความเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาขึ้น
ปราศจากความเงื่องหงอยเศร้าซึมอันจะทำให้เสียบุคลิกลักษณะ
๓) การเสกเสื้อผ้า
ถัดจากการปลุกร่างหมกจะเสกเสื้อผ้าของเจ้าสาว โดยหมอจะจับเสื้อผ้าของเจ้าสาวที่
เจ้าสาวใช้สวมใส่ในวันแต่งงาน
การเสกเสื้อผ้านี้ เชื่อว่าเสื้อผ้าที่เสกแล้วนี้ไม่มีเสนียดจัญไรแอบแฝงอยู่ทำให้ผู้สวมใส่มีสง่าราศียิ่งขึ้น
๔) การชบราศี
คำว่า ชบ ภาษาถิ่นปักษ์ใต้ตรงกับคำว่า ชุบ การขบราศี ก็คือ การเพิ่มเมตตามหานิยม
แก่บุคคล การทำพิธีตอนนี้มุ่งจะให้สาวได้รับความรักความเมตตาจากทุกคน การทำพิธีเริ่มด้วยหมอจับตัวเจ้าสาวพร้อมกับภาวนาคาถาประกอบโดยการลูบตัวเจ้าสาวจากเท้าไปศีรษะจำนวน
๓ ครั้ง คาถานี้นอกจากจะใช้ชบราศีแล้ว
หมอยังมักจะแนะนำให้เจ้าสาวภาวนาเพื่อเสกน้ำล้างหน้าทุก ๆ เช้าด้วย
เพราะเชื่อว่านอกจาจะได้รับความเมตตาจากบุคคลอื่นแล้ว คาถานี้ยังช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยปกติในตอนค่ำของวันสุกดิบนี้ เพื่อนฝูงของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะมาร่วมงานกันอย่างสนุกสนานกันมาเป็นพิเศษ
ดังนั้นมักจะมีการรื่นเริงในรูปแบต่าง ๆ และนอกจากเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเตรียมการอย่างอื่นไว้ให้พร้อมแล้วยังต้องหาเพื่อนบ่าวและเพื่อนสาวไว้เป็นพี่เลี้ยงตอนประกอบพิธีแต่งงานด้วย
ในการเป็นเพื่อนบ่าวเพื่อนสาวก็มีความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกล่าวว่า ถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณว่าแต่ละคนจะเป็นเพื่อนบ่าวหรือเพื่อนสาวได้คนละไม่เกิน
๓ ครั้ง
หากมากกว่านั้นเชื่อว่าคนที่เป็นเพื่อนบ่าวหรือเพื่อนสาวเกิดนจำนวนนี้จะไม่มีวันได้แต่งงานเลยตลอดชีวิต
ปัจจุบันเพื่อนบ่าวและเพื่อนสาวจะมีเพียง ๒ คนเท่านั้น ในขณะจัดพิธีจะยืนขนาบเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งข้างซ้ายและขวาฝ่ายละ
๑ คน
ในเช่าตรู่ของวันแต่งงานเจ้าบ่าวจะต้องรีบแต่งตัวอย่างสวยงาม ชุดเจ้าบ่าว นิยมนุ่งผ้าโจงกระเบนเหน็บกริชหัวเงินไขว้หลังขมวดไว้กับหางกระเบน
สวมเสื้อนอกสีขาวคอตั้งกระดุมทอง ๓ –
๕ เม็ด ส่วนฝ่ายเจ้าสาวนั้นในตอนเช้าวันที่จะเข้าพิธีแต่งงานหลังจาดแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่หมอเสกไว้แล้วในตอนค่ำของวันสุกดิบเรีบยร้อยแล้ว
เรียกว่า ชุดเจ้าสาว
นิยมนุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อแบบแขนทรงกระบอก สีตามชอบ
มีผ้าสไบคาดเข็มขัดทองเหลืองหรือนาก ผมถอนไร
หลังจกแต่งตัวเสร็จ หมอจะทำพิธีชาราศีให้แก่เจ้าสาวอีกครั้ง
พิธีกรรมในการแต่งงาน
หลังจากที่ได้รับกำหนดวันประกอบพิธีแต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะมีการเตรียมการสำหรับการแต่งงานไว้ให้พร้อมในทุก
ๆ ด้าน เช่น
๑ เตรียมข้าวสาร
ข้าวสารเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน และเพื่อนฝูงที่มาช่วยงาน
ดังนั้นทั้ง ๒ ฝ่าย จึงต้องจัดเตรียมข้าวสารไว้ให้พอ
โดยปกติหารทราบข่างเพื่อนบ้านและญาติมิตรทุกคนจะมาร่วมงาน
และช่วยงานด้วยน้ำใจและความรักใคร่ชอบพอกัน
๒ เตรียมเงิน
นอกเหนือจากจะต้องเตรียมข้าวสารแล้ว เงินทองก็มีความจำเป็นมากเพราะต้องจับจ่าย
ใช้สอยในการซื้อสิ่งของเป็นสินสอดทองหมั้น และใช้อื่น ๆ
๓ เตรียมเครื่องบริโภคสำหรับผู้มาในงาน
ด้วยเหตุที่ในงานจะมีเพื่อนฝูงญาติมิตรมาร่วมมากเป็นพิเศษจึงต้องเตรียมเครื่องปรุง
อาหาร เครื่องบริโภค
๔ เตรียมสถานที่
ที่บ้านของฝ่ายหญิงซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีแต่งงานนั้นต้องมีการเตรียมการต่าง
ๆ
มากเช่นกัน ดังนั้นฝ่ายชายจึงมักจะให้ญาติมิตรเพื่อนฝูงฝ่ายตนจำนวนมาก ๆ
ไปช่วยเตรียมการท้านของฝ่ายหญิง
องค์ประกอบในพิธีกรรมที่สำคัญมากที่ฝ่ายหญิงต้องเตรียมให้พร้อมคือ
ห้อง หรือที่จะใช้ประกอบพิธีซึ่งมีรูปแบบการจัดสิ่งของเครื่องใช้ในพิธีเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวตามจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณ
ในตอนเย็นของวันสุกดิบ ที่บ้านของฝ่ายชายนอกเหนือจากเลี้ยงอย่างสนุกสนานแล้วจะมีการจัดขันหมากและข้าวของต่างที่จะต้องนำไปในพิธีแต่งงานในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเข้าสู่พิธีแต่งงาน ฝ่ายเจ้าบ่าวเริ่มเตรียมขบวนแห่ขันหมากที่จะยกไปสู่บ้านเจ้าสาว
โดยทั่วไปการจัดขบวนตามลำดับบุคคลดังนี้ คือ
๑
นางเฒ่า
๒
ผู้อาวุโส อย่างน้อย ๓ คน
๓
ผู้ถือขันหมาก ๓ คน ถือคนละ ๑
ขัน โดยเดินเรียงตามลำดับบุคคลดังนี้
คือ ขันหมากหัวเดินนำหน้า ตามด้วยขันหมากถามและขันหมากต่อ ตามลำดับ
๔
ขบวนผู้ถือของเคียง ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของผู้สูงอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น