วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประเพณีการเกิดที่ยึดถือกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ประเพณีการเกิดนำมาแสดงเพียงย่อๆเท่าที่หาข้อมูลได้
 ประเพณีการเกิดหรือคลอดบุตรในล้านนามีข้อวัตรปฏิบัติที่ต้องยึดถือกันมานาน ข้อวัตรปฏิบัติเหล่านั้นไม่ค่อยจะมีการบันทึกไว้เป็นเอกสาร   แต่แท้ที่จริงแล้วเรื่องการเกิดเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผู้หญิงเพราะว่าศึกที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงในชีวิต คือ การเกิด ในสมัยก่อนนั้นวิชาการทางแพทย์ยังไม่เจริญ การเกิดแต่ละครั้งเป็นการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเลยทีเดียว ข้อยึดถือปฏิบัติของหญิงแม่มานและหลังเกิดในปัจจุบันได้เลือนหายไป แม้ในชนบทที่ห่างไกลก็มีเพียงบางอย่างที่ยังใช้ยังยึดถือกันอยู่ ซึ่งก็เพื่อความอยู่รอดของชีวิตแต่ก็ต้องยอมรับกันว่า ประเพณีการเชื่อถือเหล่านั้นก็ย่อมเหมาะสมกับความต้องการของคนในสมัยนั้น       ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามประเพณีที่เชื่อถือกันมา จะเป็นการเหลือคำหรือฝืนคติปู่ย่าตายาย ซึ่งมักทำให้เกิดเรื่องร้ายไม่สบายทั้งกายและใจ เป็นการผิดรีต (อ่านฮีด”) คือผิดจารีตประเพณีไป
ในการเตรียมตัวก่อนเกิด นั้น ตามประเพณีของทางภาคกลางมีว่า เมื่อท้องย่างเข้าเดือนที่ ๗
ทางสามีก็เริ่มจัดเตรียมฟืนไว้ใช้ในตอนอยู่ไฟ  ในล้านนาสมัยก่อนก็มีการเตรียมฟืนเหมือนกัน เพราะเรือนในสมัยนั้นทำเป็นห้องใหญ่ห้องเดียว เป็นทั้งห้องนอนห้องทำงานและห้องครัวแม่ลูกหน้อยหรือหญิงหลังคลอดจึงต้องอยู่ไฟในห้องนอน เรียกการอยู่ไฟว่าอยู่เดือนไฟ ต่อมาในสมัยหลัง เมื่อแยกครัวออกจากห้องนอน การอยู่ไฟแบบผิงไฟจึงค่อยหายไป และเปลี่ยนชื่อจาก "อยู่เดือนไฟ" เป็น "อยู่เดือนเย็น" คือ ใช้ผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายแทนความร้อนจากไฟ เริ่มแรกจะมีการจัดห้องสำหรับเกิดหรือการคลอด โดยด้านบนของห้องนั้นจะมีร่างแหหรือยอขึงเป็นเพดานล้อมด้วยสายสิญจ์ ติดผ้ายันต์กันผี ติดตาแหลว(เฉลว)และเชือกฅาเขียวที่ประตู ฝาตรงไหนมีรูเป็นช่องก็มีการซ่อมแซม ใต้ถุนตรงที่ทำเป็นห้องเกิด และจะใช้เป็นห้องอยู่เดือนด้วยนั้นก็จะล้อมด้วยไม้ไผ่สะด้วยหนามเล็บแมว โดยเชื่อว่าผีกลัว
เรื่องการสะด้วยหนามก็เพื่อป้องกันผีเป็นสำคัญ โดยเฉพาะผีปอบ ทางเหนือเรียกผีปอบว่า ผีกละ (อ่านผีก๋ะ”) ผีกละชอบมากเมื่อมีการเกิดลูก เพราะชอบของสดของคาว เช่นเดียวกับผีกระสือที่ชอบกินของสดคาวเหมือนกัน โดยเฉพาะชอบกินเลือดในหัวใจของเด็กทารกที่เกิดใหม่  ถ้าไม่ระวังให้ดี มันจะมากล่อมผู้เป็นแม่ให้หลับ แล้วบีบคอทารกให้ตายจึงดูดเลือดกิน ถ้ามิได้สะหนามไว้ใต้ถุนห้องที่เกิดและอยู่เดือน ผีกละที่มีอายุแก่กล้าจะแปลงตัวเป็นม้าเรียกกันว่า ผีม้าบ้อง ซึ่งจะมาวิ่งชนเสาหรือเสียดสีเสาใต้ถุน ถ้าสะด้วยหนามเล็บแมวไว้แล้ว ผีกละจะกลัวไม่กล้าเข้าใกล้  ส่วนแหหรือยอนั้นถือมีตามากกว่าตาของผีและ ตาก็เล็กกว่าด้วย ตาผีจึงลอดเข้าไปทำอันตรายไม่ได้
เมื่อถึงกำหนดเดือนมาทันกำหนดวันมารอด แม่มานจะเริ่มเจ็บท้อง เมื่อคนในบ้านรู้จะรีบช่วยกันจัดเตรียมห้อง  เปิดช่องเปิดหีบเปิดตู้ ไขกุญแจถอดกลอน แล้วจึงม้วนที่นอน สำหรับไว้นั่งพิงเวลาคลอด บางแห่งทำราวหรือแขวนเชือกไว้เป็นที่จับ  จากนั้นจึงไปบอกแม่ช่างให้รับทราบแล้วเชิญมา  ในช่วงนี้ใครจะไปยืนประตูหรือคาบันใดไม่ได้ คงเพื่อคงต้องการให้เป็นเคล็ดว่าจะได้เกิดง่ายไม่ค้างคา  แม้แต่การพูดก็ไม่ให้พูดไปในทำนองว่าเกิดยากคลอดยากค้างคา อะไรอย่างนี้ ห้ามหญิงมีครรภ์เข้าเยี่ยมตอนนี้ เพราะเคล็ดเขามีว่าเด็กในท้องจะอายกันแล้วจะไม่ยอมคลอด อีกอย่าง หากสามีเคยได้ฝังเสาฝังหลักตอกตะปู ก็ให้รีบไปถอนออก ทั้งนี้อาจก็ต้องพึ่งพาหมอให้ช่วยเสกคาถาบทที่ชื่อว่าคาถาเสดาะ คาถาที่ใช้เสดาะ ช่วยคนให้เกิดลูกง่ายหรือเสดาะก้างที่ค้างคอนี้นั้น มักจะเป็นคำที่กระโดกกระเดกสัปดน หมอท่องมนต์ก็ท่องบ่นให้เสียงดัง คนที่ได้ยินแล้วก็มักอดที่จะขำไม่ได้  หมอท่องมนต์ไปแล้วเสกน้ำให้แม่มานกินสักอึกสองอึก แล้วจึงใช้น้ำมนต์แก้วลูบท้องของแม่มานตั้งแต่อกลงไปถึงสะดือโดยให้ลูบรวดเดียวจากบนลงล่าง ห้ามหยุดระหว่างกึ่งกลาง

คาถาที่ใช้นิยมมากคือคาถาอังคุลิมาลหรือองคุลีมาล
 ที่ว่า
ยโตหํ ภคินี อริยาย ชาติยาชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปานํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส"
บางราย อาจจะข่ม คือเสกคาถาแล้วกุมที่ศีรษะแม่มาน บ้างก็อาจเสกคาถาสะเดาะ และบางรายอาจให้ดื่มน้ำล้างเท้าของสามีเมื่อคลอดยาก นอกจากนี้ ก็ให้คลอดตามทิศ เช่น หันศีรษะของแม่ไปทางทิศเหนือ บ้างก็หันไปทางทิศตะวันออก และบ้างก็หันหัวไปทางประตู โดยเชื่อว่าจะทำให้คลอดง่ายขึ้น ทั้งนี้ ในห้องที่คลอดนั้น นอกจากมารดาแล้วก็จะมีเพียงแม่ช่างและญาติสนิทบางคนเท่านั้น
เมื่อยามเกิด ตอนเด็กหลุดออกมาถึงพื้นเรียกกันว่าตกฟาก  เวลายามที่เกิดนี้ก็ต้องจดจำไว้ให้ดี ถ้าเป็นกลางวันก็จะดูพระอาทิตย์ว่าเป็นกี่โมงกี่ยาม  ถ้าเป็นกลางคืนก็จะกำหนดเอาการขันของไก่  เมื่อจดจำไว้ดีแล้ววันต่อมาจึงไปหาพระหรือผู้รู้ให้เขียนชะตาวันเดือนปีที่เกิดลงในใบลานหรือใบตาลที่เรียกว่าใบชาตา แล้วจะเก็บใส่กระบอกไม้ไว้เพื่อดูได้ในภายหลัง
เมื่อเด็กเกิดออกมาแล้วผู้ที่คอยช่วยแม่ช่างก็ต้องคอยกดท้องแม่มานไว้ให้ดีเพื่อป้องกันรกบิน ถ้าดูเหมือนว่ารกจะขึ้นสูงแม่ช่างจะใช้ไม้คานขวางกดตรงลิ้นปี่ไว้เพื่อไม่ให้รกบินขึ้น เพราะกลัวกันมาก ว่า รกจะขึ้นปิดลิ้นหัวใจทำให้แม่หายใจไม่ออกและทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าหากรกไม่ออก ท่านให้เอาใบพลูมาม้วนแล้ว แหย่หมุนในคอผู้เป็นแม่ ถ้าแม่อาเจียนแล้วรกจะออก  ถ้ายังไม่ออกให้เอาหมอนถูหลังไปมารกจะออก  ถ้ายังไม่ออกอีก ให้ใช้มือกด ๒ ข้าง และถึงขนาดนี้แล้วรกยังไม่ออก ก็จำต้องไปหาพ่อเลี้ยงคือหมอเสกคาถาเสดาะเสกน้ำให้กิน  ถ้ารกยังไม่ออกแม่ช่างจะยังไม่ตัดสายสะดือเพราะกลัวว่าว่าสายรกจะหลุดเข้าข้างใน ซึ่งผู้เป็นแม่จะเป็นอันตรายถึงตายเพราะรกขึ้นไปปิดหัวใจ  สายรกซึ่งทางล้านนาเรียกว่า "สายแห่" อาจทำนายอนาคตของเด็กด้วย หากเด็กเกิดมาเป็นชายและมีสายแห่คล้องคออยู่ขณะคลอดออกมานั้น ทายกันว่าจะได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนา
เมื่อคลอดออกมาแล้วแม่ช่างก็จะอุ้มเด็กพร้อมกับล้วงปากเอาน้ำเมือกออกจากคอให้หมด ถ้าล้วงน้ำเมือกออกไม่หมด กล่าวกันว่าเมื่อเด็กโตขึ้นจะพูดเสียงแหบเครือไม่กังวานและจะทำให้เกิดเป็นหืดหอบได้ง่าย เมื่อล้วงน้ำเมือกออก ถ้าเด็กยังไม่ร้อง ก็ต้องพยายามหาทางให้เด็กร้องให้ได้ โดยใช้มือตีที่ก้นหรือใช้กระด้งพัด  ถ้ายังไม่ร้องใช้เหล็กเผาไฟนาบที่รกเพื่อความร้อนจะได้ผ่านไปถึงเด็ก
เด็กจะร้อง  แต่ถ้าไม่ร้องจริง ๆ เด็กนั้นไม่ค่อยจะมีชีวิตรอด เมื่อล้วงปากเด็กร้องไห้แล้ว เอาผ้าห่อเด็กไว้ก่อน หลังจากนั้นเมื่อรกออกมาแล้วก็เป็นที่เบาใจ แม่ก็ต้องนอนพักผ่อนเพราะเพลียจากการเกิด ปล่อยให้แม่ช่างจัดการกับรกและสายสะดือเด็กต่อไป
เมื่อเด็กออกมาแล้ว ก่อนอื่นต้องผูกสายสะดือด้วยด้ายดำ วิธีการผูกสายสะดือนี้ถือเป็นสำคัญมากแม่ช่างต้องรูดเลือดในสายรกให้ไหลไปทางสะดือเด็ก   หากไม่ทำเช่นนี้ โบราณว่าจะทำให้เด็กเป็นโรคโลหิตจางได้เมื่อโตขึ้น  ในสายรกจะมีปมเล็ก ๆ ขนาดเท่าเม็ดพุทรา ถ้ามีจำนวนกี่ปมก็ทายได้ว่าผู้ที่เป็นแม่จะมีลูกตามจำนวนของปมนั้น ซึ่งแม่แต่ละคนจะมีปมนี้ไม่เท่ากัน ก่อนที่จะผูกก็ต้องรูดปมเหล่านี้ไปทางรกโดยรูดจนที่กะจะผูกฝ้ายนั้นแฟบแล้วจึงผูกให้แน่น  โดยผูกเป็น  ๒ เปลาะ แล้วจึงตัดตรงกลาง การตัดก็ต้องมีระยะที่กำหนดไว้เช่นกัน กล่าวกันว่าถ้าตัดสั้นเกินไป เมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นคนใจร้อนใจด่วนโกรธ
การตัดสายสะดือ นั้นให้ใช้ผิวไม้เรี้ย (อ่านไม้เฮี้ย”)คือไม้ซาง ถ้าในเตาไฟมีกระบอกไม้เรี้ยที่ใช้เป่าไฟให้ลุก ก็จะถากเอาผิวของกระบอกเป่าไฟ ที่เห็นว่าดีก็คงเพราะถูกความร้อนบ่อย เป็นการฆ่าเชื้อ เมื่อตัดสายรกแล้ว ก็จะนำเด็กไปอาบน้ำอุ่น โดยแม่ช่างจะเอาเด็กนอนบนหน้าแข้งที่เหยียดออกไป หันเอาหัวเด็กไปทางปลายเท้า แล้วจึงชำระล้าง การอาบน้ำอุ่นครั้งแรกนี้ เป็นการชำระเอาคราบไขหรือน้ำคร่ำที่ติดทารกออกมา บางท่านว่าให้ทาน้ำมันมะพร้าวด้วยเพื่อช่วยให้ไขมันออกง่าย มีการดัดแขนดัดขาเด็กให้ตรงให้สวย  ถ้าดัดในตอนที่เด็กยังอายุน้อยเช่นนี้จะช่วยให้แข้งขาไม่โก่ง และจะมีการจับจมูกเด็กให้แหลมจมูกจะได้ไม่แฟบไปด้วย คืออาบน้ำเมื่อใดก็จะ ตบแต่งแข้งขาจมูกเด็กไปด้วย ทั้งนี้ การอาบน้ำแม้กระทั่งป้อนข้าวก็กระทำบนหน้าแข้ง คงเห็นว่าแอ่งระหว่างสันหน้าแข้งนั้นจะช่วยประคองเด็กได้ดี
เมื่ออาบน้ำเสร็จก็จะเอาผ้าสะอาดห่อหุ้มเด็กแล้วนำไปวางไว้ข้าง ๆ แม่ เพื่อลองให้ดูดนมแม่ แล้วนำเด็กวางไว้ในกระด้ง ใช้ผ้าห่มขดเป็นวงรอบขอบกระด้งข้างบนจะเหลือเป็นช่องนิดเดียว  และปิดด้านบนด้วยผ้าขาวบางหรือเศษมุ้ง บางครั้งก็ใช้ร่างแหหรือยอปิดทับข้างบน เป็นการป้องกันผี
เมื่ออาบน้ำเด็กเสร็จแล้ว จะนำเด็กห่อผ้าใส่กระด้งไปขายละอ่อนที่หัวบันได โดยไปร่อนกระด้งเบา ๆ แล้วกระทืบเท้าสองสามครั้ง วางเด็กไว้แล้วว่า “คันเปนลูกผีทังหลาย เปนลูกผีจอมปลวก ผีบวกฅวาย ค็หื้อมาเอาเน่อ แล้วคนที่พูดนั้นหรือญาติก็จะรีบพูดต่อว่า ละอ่อนนี้เปนลูกข้า ข้าจะเอา แล้วจึงยกกระด้งเขาสู่ ในห้องเรือนที่จัดไว้  คนที่รับเอาเด็กนี้เรียกว่าแม่รับ (อ่านแม่ฮับ”)
หลังจากพิธีขายละอ่อน แล้วก็จะเป็นการอุ้กละอ่อน คือการบ่มผิวทารก โดยจัดทารกอ่อนให ้นอนในกระด้ง รวบผ้าห่มตามยาวแล้วเอาวงรอบขอบกระด้ง โดยวงให้เล็กด้านบนแล้วใช้ผ้าโปร่งปิดเพื่อกันแมลงการทำอย่างนี้ เพื่อต้องการอุ้กละอ่อน คือบ่มผิวทารกและทำให้ทารกอบอุ่น เมื่อหลายวันเข้า หนังในท้อง คือ ผิวหนังของเด็กที่เจริญจากในครรภ์จะลอกออก เมื่อลอกหนังสีแดงออกเป็นหนังสีขาวแล้ว เชื่อว่าผิวหนังเด็กจะดี ถ้าไม่ทำการอุ้กตัวดังกล่าว เมื่อโตขึ้นเด็กมักจะเป็นโรคผิวหนังหรือผิวไม่สวย
เมื่อจัดการให้เด็กคลอดและตัดสายสะดือ ตลอดจนอาบน้ำทารกเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายแม่ช่างจะล้าง
ความสะอาดรก ถ้ารกไม่สะอาดแล้วเด็กเจ้าของรกจะเกิดเม็ดผดผื่นคันเนื้อตัวก็ดูไม่ค่อยสะอาดไปด้วย  เมื่อล้าง ให้สะอาดดีแล้วจะใช้ใบตอง ตรงส่วนหางที่เรียกว่าหางตองมาห่อรก ท่านให้ใช้เข็มเย็บผ้าปักลงไปบนห่อรกด้วย เพื่อว่าต่อไปในภายภาคหน้าเด็กจะได้มีความฉลาดมีปัญญาเฉียบแหลมเหมือนดังกับเข็ม  ผู้เป็นพ่อของเด็กจะ เป็นผู้ฝังรก  จะไม่นิยมนำรกไปฝังโคนต้นไม้เพราะเชื่อว่าเมื่อเด็กโตขึ้นอยู่ในวัยกำลังซน เด็กจะชอบปีนต้นไม้ จึงนิยมเอารกไปฝังใต้บันไดบ้าน เชื่อว่าเพื่อให้เด็กอยู่กับบ้านกับเรือน ตอนที่พ่อจับห่อรกเพื่อนำไปฝังนั้น มีเคล็ดว่าให้ใช้มือขวาถือห่อรกเพื่อเด็กจะได้ถนัดมือขวา ถ้าใช้มือซ้ายจับ เด็กจะเป็นคนถนัดมือซ้าย
ส่วนสายสะดือที่ติดอยู่กับตัวเด็ก เมื่อถึงกำหนดก็จะหลุดออก พ่อแม่จะนำไปตากแห้งแล้วห่อผ้าขาวเก็บไว้ เมื่อมีพี่มีน้องด้วยกันหลายคน จะนำเอาสายสะดือรวมกันแช่น้ำหรือฝนกับน้ำให้ลูกทุกคนดื่ม เชื่อว่าพี่น้องจะรักกันไม่ทะเลาะกัน มีกิจการงานสิ่งใดจะคอยช่วยเหลือกันเสมอ
เมื่อเด็กเกิดมาใหม่นั้น แม่บางคนยังไม่มีน้ำนมสำหรับเลี้ยงทารก สิ่งแรกที่เด็กกินคือ ขี้แมงสาบคั่วแล้วนำมาละลายน้ำให้เด็กกิน ขี้แมงสาบคั่วนี้ถือเป็นยาสำหรับขับขี้เทาของเด็ก บางแห่งใช้น้ำผึ้งผสมน้ำแล้วใช้ผ้าสะอาดจุ่มไว้ให้เด็กดูดกิน หากการเกิดจากท้องนี้เป็นท้องหัวสาวหรือลูกคนแรก นมแม่อาจจะบอดคือน้ำนมไม่ไหล ต้องทำไม ้อย่างไม้ตับปิ้งปลามาหนีบที่หัวนมแม่สองสามครั้ง เอาเคล็ดให้หัวนมแตกออก ถ้าเด็กเกิดมาหลายวันแล้ว ยังไม่มีน้ำนม ก็ต้องอุ้มเด็กไปหาหญิงที่เกิดในช่วงเดียวกัน หรือไปขอให้ผู้หญิงนั้นมาที่บ้านเพื่อช่วยให้นมแก่ลูกน้อย แต่โดยมากหญิงทั่วไปไม่มีใครรังเกียจที่จะให้เด็กดื่มนมร่วมกัน
เมื่อไม่แน่ใจว่าจะมีน้ำนมเลี้ยงลูกหรือไม่ก็ต้องหาสมุนไพรหรือสิ่งที่เชื่อกันว่าบำรุงนมมาให้แม่กิน ตำราหนึ่งกล่าวว่า หลังจากที่เกิดลูกแล้วสัก ๒ วัน ให้เอาหัวปลีกล้วยมาต้มกิน อีกตำราหนึ่งกล่าวว่า ขั้วขนุนที่เขาปลิดลูกไปแล้ว นำมาต้มกินน้ำ จะทำให้มีน้ำนมให้ลูกกินอย่างอุดมสมบูรณ์
เมื่อมีน้ำนม  น้ำนมแรกจะมีสีเหลืองเชื่อกันว่าเป็นน้ำนมเสีย จะบีบทิ้งก่อนจนเห็นเป็นสีขาวแล้วจึงให้ลูกดูด สมัยก่อนเมื่อคลอดได้ ๖-๗ วันก็จะให้อาหารแก่ทารกแล้ว โดยเริ่มให้กล้วยน้ำว้าบดเสียก่อนแล้วจึงผสมข้าวลงไปด้วย เชื่อกันว่าที่เด็กร้องไห้บ่อยนั้นเป็นเพราะเด็กหิว จึงต้องให้อาหารเพื่อเด็กจะได้หลับนาน ๆ
หากเด็กตายในระยะหลังคลอดหรือในระยะที่ยังเป็นทารก เชื่อว่าเด็กที่ตายในช่วงนี้จะเกิดใหม่ ได้เร็ว ก่อนที่จะนำศพไปฝัง พ่อแม่จะร้องไห้แล้วบอกกับศพเด็กให้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันอีก พร้อมนั้นก็จะทำเครื่องหมายไว้ อาจจะใช้ปูนแดงหรือมินหม้อป้ายก้นเด็กให้เป็นเครื่องสังเกต  เมื่อมีลูกคนต่อไปถ้ามีปานดำหรือปานแดงติดก้นตามตำแหน่งที่ป้ายไว้นั้น ก็เชื่อว่าเป็นลูกคนก่อนมาเกิดใหม่
 อีกอย่างหนึ่งที่ควรศึกษา คือ
การตั้งท้อง
ระยะตั้งท้องผู้เป็นแม่ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ทำให้เกิดความเชื่อถือหลายอย่าง เช่น
ให้นำดอกบัวที่บูชาพระมาต้มกินจะทำให้เด็กในท้องแข็งแรง เวลามีสุริยคราสหรือจันทรคราสให้
เอาเข็มมากลัดที่ชายผ้า จะทำให้เด็กเกิดมาอาการครบ ๓๒ และให้นั่งถัดบันไดจะทำให้คลอดง่าย 
การคลอดและการทำขวัญเด็ก

การคลอดลูกนั้น เวลาคลอดจะเรียกว่า "เวลาตกฟาก" ซึ่งตามปกติพ่อแม่เด็กจะจดเวลา
วัน เดือน ปี เอาไว้ดูดวงชะตา หลังจากคลอดแล้วแม่เด็กจะต้องอยู่ไฟ คือการย่างตัวให้มดลูกเข้า
อู่เป็นการรักษาพิษบาดแผลให้หายเร็ว การอยู่ไฟนี้จะใช้ขมิ้นกับปูนกินหมากผสมกัน ทาบริเวณ
ท้องของแม่เด็ก แล้วนั่งใกล้ๆ กองไฟที่ใส่ฟืนไว้ใช้ไพล ขมิ้น ใบระนาด ผิวมะกรูดตากแห้งหั่นให้
ละเอียดโรยในกองไฟให้ควันฟุ้งใส่แม่เด็ก ใช้เวลาประมาณ ๑ -๓ สัปดาห์ต้องงดอาหารแสลง 
การทำขวัญ มีทั้งขวัญ ๓ วันและขวัญเดือน ให้จัดทำบายศรีปากชาม และมีเครื่องบัตรพลี
สำหรับสังเวยพระภูมิเจ้าที่ มีปลาช่อนต้มยำหนึ่งตัว มะพร้าวอ่อนหนึ่งผล กล้วยหนึ่งหวี ขนมต้มแดง
ขนมต้มขาว และขนมอื่น ๆ ดอกไม้ธูปเทียน เครื่องที่ใช้ทำขวัญมีแป้งหอม น้ำมันหอม กระแจะมา
จุนเจิมข้าวสารบรรจุลงในขัน สำหรับปักเทียนสามเล่ม เสร็จพิธีเอาด้ายสายสิญจน์มาเสกผูกข้อมือ
เด็กทั้ง ๒ ข้าง "ผูกขวัญ"
ทำขวัญเดือน หรือโกนผมไฟ ต้องทำบัตรพลี (เครื่องเซนสังเวย) พระภูมิเจ้าที่เมื่อโกน
ผมแล้วให้เหลือไว้หย่อม หย่อมหนึ่งที่ตรงกลางขม่อม เข้าใจว่าเด็กนั้นขม่อมยังบางอยู่ ผมที่โกน
แล้วบรรจุลงในกระทงมีใบบัวหรือใบบอนรองก้น แล้ววางไว้บนพานจากนั้นนำไปลอยน้ำหรือเอาไป
ทิ้งแล้วแต่สะดวก ผู้ที่เอาไปลอยต้องพูดว่าขอให้อยู่เย็นเป็นสุข


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น