นิทานเรื่อง ปิสุณาวาที
นิทานก่อนนอน "ปิสุณาวาที"
จากเรื่องเล่ากลายเป็นตำนาน จากตำนานกลายเป็นเทพนิยาย ปฐมบทแห่ง
ปิสุณาวาที เริ่มต้นที่มัชฌิมโลก ดินแดนอันสงบสุขมาช้านาน
มนุษย์และสัตว์ต่างมีสัจจะ ไม่นิยมการโกหกหลอกลวง ไม่มีความแตกความสามัคคี
จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีเหตุการณ์สำคัญ ทำให้มัชฌิมโลก เกิดความโกลาหลวุ่นวาย
จนยากที่จะควบคุมไว้ได้ และได้ลุกลามไปทั่วดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่
กิระ ดังได้ยินมา มีสามีภรรยานิรนามคู่หนึ่งได้อยู่กินกันมาหลายปี
จนกระทั่งมีลูกสาวสี่คน ซึ่งนางทั้งสี่ ต่างมีหน้าตาสวยงามระดับนางงามหลายๆจักรวาล
แต่ด้วยนิสัยสันดานอันติดมาแต่ปุเรชาติ ทำให้นางทั้งสี่
มีนิสัยแปลกประหลาดไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในมัชฌิมโลก จนเป็นเหตุปั่นป่วนวุ่นวาย
แต่ละนางมีนิสัยโดดเด่นแสบเฉพาะตัว
นางคนแรกเป็นคนที่มีนิสัยเจ้าชู้ หลายใจ
ชอบหลอกลวงผู้อื่นให้หลงรักตนอยู่เรื่อยหว่านเสน่ห์ไปทั่ว เจอใครก็บอกรักไปหมด
จนทำให้ผู้ชายในมัชฌิมโลกหลงไหลมีการทำร้ายรบราฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงนาง
ครอบครัวอยู่ไม่ปกติสุขเพาะพ่อบ้านต่างก็ไปลุ่มหลงนาง
แล้วก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวและเพื่อนบ้านประจำ
นางคนที่สอง มีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อยเป็นประจำ ใครเผลอเป็นไม่ได้
ทำให้ชาวมัชฌิมโลกเดือดร้อนไปทั่ว จนนางได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าหญิงแห่ง อีลัก และ
อีหยิบ
นางคนที่สาม มีนิสัยชอบกินจุ กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินแหลกลาญ
ใครจะเชิญหรือไม่ก็ตาม
ถ้านางเห็นมีกิจกรรมการกินที่ไหนนางก็จะปรี่เข้าไปร่วมสังฆกรรมด้วยทุกครั้ง มีผู้ตั้งฉายานางว่า
"นางพญาขยับกับพินาศ" ชาวมัชฌิมโลกต่างระอาไปตามๆกัน
นางคนสุดท้าย ร้ายเหลือกว่าคนอื่น มีนิสัยถาวรชอบโกหก หลอกลวง
ปลิ้นปล้อนกะล่อนไหล ชอบพูดจาส่อเสียด ยุยงให้คนทะเลาะเบาะแว้งกัน
ที่ไหนมีความสงบสุขไม่เป็นที่ถูกใจนาง ต้องไปเม้าส์มอยหอยสังข์ซุบซิบนินทา
ยุยงให้คนแตกแยกกัน เมื่อเห็นคนอื่นทะเลาะกันนางก็จะมีความสุข
หัวเราะอย่างซาดิสต์สมใจนาง
มัชฌิมโลกเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่วเพราะสี่นางทำให้เกิดโกลาหลขึ้น
จนในที่สุดผู้ปกครองแห่งมัชฌิมโลกก็หาทางแก้ไขเหตุการณ์ให้กลับมาสงบสุขเหมือนเดิม
ด้วยการจับนางทั้งสี่อันเป็นต้นเหตุุ มัดเอาไปลงแพปล่อยให้แพไหลไปตามกระแสมหาสมุทร
นางทั้งสี่จึงต้องทุกข์ทรมานกายใจอย่างสาหัสต่างก็โทษซึ่งกันและกัน (ยังไม่สำนึก)
ด้วยเดชะบุญ (อันน้อยนิด)ของนาง ในระหว่างที่ถูกลอยแพ เท้งเต้งอยู่ในทะเล
ได้มีเรือสำเภาโจรสลัดผ่านมาเห็น หัวหน้าโจรสลัดก็นึกสงสัยว่าทำไมผู้หญิงหน้าตาดีๆอย่างนางทั้งสี่ต้องถูกจับลอยแพเช่นนี้
จึงให้ลูกสมุนช่วยกันนำนางทั้งสี่ขึ้นไปบนเรือสำเภา
กัปตันแจ๊ค(ฮ่าๆๆ)
เป็นคนฉลาดได้สังเกตุนางทั้งสี่ว่ามีนิสัยเช่นไรไม่นานก็ก็รู้ความจริงทั้งหมด
จึงหาทางแก้ไขนิสัยแต่ละนาง โดยนางพี่สาวคนโตที่เป็นคนเจ้าชู้
กัปตันแจ๊คก็แต่งงานด้วย และให้ลูกสมุนทุกคนให้ความเคารพนางให้เรียกนางว่าแม่นาย
เมื่อนางได้เป็นใหญ่แล้วก็ละทิ้งนิสัยเจ้าชู้ได้อย่างสิ้นเชิง
นางคนที่สองกัปตันแจ๊คได้มอบกุญแจสมบัติให้ พร้อมบอกว่า เพชรนิลจินดา
แก้วแหวนเงินทองทั้งหมดเป็นของนางอยากได้อันไหนก็เอาไปได้ทั้งหมด
เมื่อนางมีสมบัติทุกอย่างแล้วไม่รู้จะไปขโมยทำไมอีก ก็เลิกเป็นขโมยอย่างเด็ดขาด
นางคนที่กินแหลกลาญกัปตันแจ๊คให้ไปอยู่ห้องครัว บอกว่า
แม่นางอยากกินอะไรก็กินได้ทุกอย่าง เมื่อนางได้กินอิ่มแล้วก็เลิกนิสัยกินจุไป
ยังคนเหลือนางคนสุดท้ายที่ชื่อ ปิสุณาวาที
มีนิสัยถาวรชอบพูดส่อเสียด ยุยงให้คนแตกแยกกัน นางไปยุยง ให้กลาสีสมุนโจร
ทะเลาะกันทุกวัน จนเกิดทำร้ายกันประจำๆ กัปตันแจ๊คหมดปัญญาแก้ไข
จึงจับนางเอาไปปล่อยแพให้ล่องลอยไปตามกรรม
นางจึงต้องโดดเดี่ยวลอยแพอยู่ในทะเลอีกครั้ง ขณะนั้นได้มีนกอินทรีย์ขนาดใหญ่สองผัวเมียบินมาเจอ
จึงสงสารได้เข้าช่วยเหลือนางโดยเอาเอาไม้คานให้นางห้อยโหน
นกทั้งสองก็ใช้เท้าจับคนละด้านพาบินไปสู่ฝั่ง
ในระหว่างทางนางปิสุณาวาทีเกิดคันปากขึ้นมา
จึงขยับไปทางนกอินทรีย์ตัวผู้ แล้วกระซิบเบาๆ
แล้วก็ขยับมาทางตัวเมียบ้างพูดกระซิบว่า ผัวเธอแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉัน
และพูดเกี้ยวพาราสีฉัน
นางนกอินทรีย์ได้ยินก็โกรธจึงปล่อยเท้าที่จับไม้คานเข้าไปจิกตบตีนกอินทรีย์สามี
ฝ่ายนางปุสุณาวาทีเกาะไม้คานอยู่ดีๆก็ล่วงหล่นลงมาจะท้องฟ้าไปสู่มหาสมุทรจนถึงแก่ความตาย
อ๊ะอ๊ะ !! เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะครับท่านผู้อ่าน
เมื่อนางตกลงมาตายในทะเล ศพของนางปิสุณาวาที
ถูกคลื่นซัดเข้าหาฝั่งมาเกยตลิ่งอยู่ทีหน้าวัดแห่งหนึ่ง
วันหนึ่งสมภารเจ้าวัดไปเดินสำรวจน้ำท่วมด้านนี้ มาพบสีกามานอนโชว์อื๋ม
เจออสุภังก็เลยบังสุกุลว่า โอ๊ะโอ๋แม่คุณปะสะโมสุโข มาเปลือยร่างสังขาโร นอนโจ๋โหววะกะลิงคะรัง
ด้วยเมตตาจิตของสมภาร จึงนำกระโหลกนางไปทำกระถางธูปประจำหอสวดมนต์
หวังจะให้เจ้าของหัวกระโหลกพลอยได้รับอานิสงส์ การสวดมนต์ภาวนาของพระเจ้าพระสงฆ์
แต่เหตุการณ์คาดไม่ถึง เย็นวันนั้น พระเณรทำวัตรสวดมนต์จบลงอย่างไม่เป็นท่า
"ก่อนจะหัน(ทะมะยัง) สมภารโยโส คอสองนะโม ลูกแถวสัพพี
หลวงตาบุญยันเต หลวงตาเมกรณีย์ ฝ่ายหลวงปู่มีผ่าไปเอวัมเม หลวงพี่จันทร์ยันทุน
หลวงปู่ปุ่นพึมพำว่า ปริตตันตัมภะนัมมะเห ฯเกิดทุ่มเถียงเสียงโยเย สวดมนต์โมเมกลายเป็นต่อยมวย
เลยไม่ได้กรวดน้ำแผ่เมตตา ปากเจ่อตาปิดไปตามกัน พอต่างได้สติก็ดำริเห็นพ้องกันว่า
ต้องเป็นไปด้วยอาถรรพณ์หัวกระโหลกผีพเนจรนี้แน่ๆ จึงพร้อมใจกันเป็นสมานฉันท์
เอาหัวกระโหลกไปทิ้งป่าช้า
แต่เรื่องยังไม่จบ ต่อมามีนักเลงสุรา
หนีตำรวจไปแอบต้มเหล้าเถื่อนในป่าช้า จัดแจงทำเตาโดยเอาก้อนหินมาทำก้อนเส้า
แต่ขาดไปด้านหนึ่ง จึงไปเอาหัวกระโหลกนางปิสุณาวาทีมาใส่แทน
เมื่อต้มเหล้าเสร็จก็ดื่มฉลองในความสำเร็จแจกกันกิน
"กินเหล้าแต่ก่อนเขาว่าสนุก ไม่เกิดทุกข์หรือผิดศิล
แต่เพราะฤทธิ์กระโหลกผีราคิน เหล้าเลยหมดสิ้นสนุกไป" เกิดดุร้ายขึ้นมา
ต่างทุ่มเถียงถึงกับลงไม้ลงมือกัน พระเจ้าพระสงฆ์ตื่นมาห้ามทัพขี้เมา
เมื่อซักไซร้หาสาเหตุทราบชัดแล้ว จึงช่วยกันขจัดเสนียดจัญไร เอาขี้เถ้า
หัวกระโหลกของนางผีปิสุณาวาทีไปทิ้งน้ำอย่าให้เหลือ
เหตุการณ์ซ้ำร้ายขนาดหนักเพราะเขม่าขี้เถ้าเมื่อผสมน้ำละลาย
ก็ไหลเอิบอาบไปทั่วทุกคลองทุกแคว ชาวบ้านต่างตักน้ำมาดื่ม มาใช้กันทุกครัวเรือน
อำนาจแห่งผีร้ายก็ไปสิงสถิตย์อยู่ในหัวใจมนุษย์ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการโกหก
สตรอเบอรี่ พูดจา นินทาใส่ร้ายกันไปทั่ว คนจึงไม่มีศีลไม่มีสัจจ์
ทำอะไรตามนำนาจกิเลส สังคมเดือนร้อนวุ่นวายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เพราะฤทธา
นางสุปิณาวาที มีด้วยประการฉะนี้แล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น