การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ไว้เสวยวิมุติสุข คือความสุขที่เกิดจากการพ้นทุกข์
บริเวณรอบต้นศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา 7 สัปดาห์
ทรงพิจารณาวางแผนในการเผยแผ่สัจธรรม ให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจาก “พรหมลิขิต” มาเป็น “กรรมลิขิต”
ขั้นแรกต้องหาบุคคลที่มีสติปัญญาที่พอจะฟังเข้าใจรู้เรื่องรวดเร็วก่อนจึงเดินทางไปเทศนาโปรด
พระปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เดินทางด้วยพระบาท 10
วัน พระองค์เทศนาครั้งแรก ชื่อธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ปรากฏว่าพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก จึงขอบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา
วันนั้นจึงมีครบองค์ 3 คือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์
เรียกว่า วันอาสาฬหบูชา ส่วนพระอีก 4 รูป
ภายหลังก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน จนในที่สุด ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
หรือผู้หมดกิเลสสิ้นเชิง
จากนั้นเทศนาโปรดยสกุมารซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสีผู้เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือน
พร้อมพรรคพวก รวม 55 คน บรรลุอรหันต์ทั้งสิ้น
ในพรรษาแรกนั้นเอง
เมื่อพ้นฤดูฝนก็ประชุมสาวกทั้ง 60 รูป
ให้ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและหันมายอมรับนับถือพระพุทธศาสนา
โดยให้สาวกยึดอุดมการณ์ว่า “เพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน
และเพื่ออนุเคราะห์โลก” ซึ่งสาวกทั้ง 60 ท่านทำงานได้ผลดีเกินคาด เพราะท่านเป็นผู้มีชื่อเสียง
เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเมืองราชคฤห์เพื่อโปรดชฏิล 3 พี่น้อง คืออุรุเวลกัสสป นทีกัสสป และคยากัสสป
พร้อมบริวาร 1,000 คน เป็นพวกบูชาไฟ
ชาวเมืองราชคฤห์เลื่อมใสมาก
พระพุทธเจ้าใช้เวลาเทศนาสั่งสอนจนทั้งหมดหันมายมอรับและขอบวชในพระพุทธศาสนา
และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
จากนั้นพระพุทธเจ้านำบริวารทั้งหมดเข้าเมืองราชคฤห์
เทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสาร ประกาศตนเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา
และสร้างวัดเวฬุวันเป็นวัดแห่งแรกในศาสนา พร้อมข้าราชบริพาร ชาวเมืองราชคฤห์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ระหว่างประทับที่กรุงราชคฤห์นี้พระพุทธองค์ได้สาวกที่สำคัญยิ่ง 2 รูป คือ พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา และพระโมคคัลลานะ ได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย
ทั้งคู่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปทั่วชมพูทวีป
ระยะแรกพระสาวกล้วนเป็นชนชั้นสูงทั้งสิ้น
และทรงมีพระเจ้าพิมพิสารกาตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรมคธเป็นองค์อุปถัมภ์
พระองค์ไม่กีดกั้นคนไม่ว่าอยู่ในวรรณะใด เมื่อเข้ามาบวชทุกคนเหมือนกัน ถือเป็นศากยบุตร
คือ ลูกของพระศากยมุนี เหมือนกันทุกคน
ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะอีกต่อไป
แต่การรับพวกวรรณะศูทรซึ่งนับเป็นชนชั้นต่ำเข้ามานั้น
ย่อมเป็นที่รังเกียจของพวกชั้นสูงว่าทำไมสาวกของพระพุทธเจ้าจึงมีกิริยามารยาทไพร่เช่นนี้
พระองค์จึงแก้ปัญหาโดยสอน สมบัติผู้ดี ภาษาบาลีเรียกว่า เสขิยวัตร ถึง
75 ข้อ เป็นเรื่องกิริยามารยาท
ทำให้พวกศูทรสามารถปรับปรุงแก้ไขตนเองเป็นผู้ดีได้เช่นกัน
มีโอกาสศึกษาเล่นเรียนพระธรรมจนเป็นอริยบุคคลไม่ต่างจากวรรณะอื่นๆ เลย
พระพุทธองค์มีความเสมอภาคกัน รักษาศีลเท่าเทียมกัน ต้องใช้ผ้าบังสุกุลเหมือนกัน
บิณฑบาตเลี้ยงชีพเหมือนกัน มีคติความเชื่อเหมือนกัน คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ต้องรับผลกรรมนั้น นี้คือ กรรมลิขิต
ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิวัติสังคมอินเดียของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่มวลมนุษย์โลกโดยแท้
ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อช่วยเหลือสังคมให้เป็นอิสระจากพันธนาการ “พรหมลิขิต” โดยมิได้ย่อท้อ
ทรงรับปัจจัย 4 เพียงเล็กน้อย เพื่อยังชีพ
แต่เป็นผู้ให้โดยไม่มีขอบเขต ทรงโน้มน้าวสาวกให้เป็นผู้เสียสละ
ทรงสั่งสอนโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ เพราะทรงสอนว่า บุคลจะชั่วดีเพราะชาติกำเนิดก็หาไม่
แต่จะชั่วหรือดี เพราะกรรมคือการกระทำของตนเท่านั้น
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน
คนหนึ่งจะทำให้อีกคนหนึ่งบริสุทธิ์ไม่ได้
พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาสั่งสอนโดยไม่คำนึงถึงชนชั้นวรรณะ
สาวกของพระองค์ล้วนมีอำนาจมาก เช่น พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธ
พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล กษัตริย์ลิจฉวี แห่งแคว้นวัชชี และยังมีเศรษฐี
มหาเศรษฐีมากมาย
ทำให้งานยกฐานะทางสังคมและพัฒนาสังคมให้เท่าเทียมกันได้ผลเกินคาดหมาย
พระองค์ยังยกฐานะของสตรีเท่าเทียมบุรุษ เช่น
ทรงอณุญาตให้สตรีบวชเป็นภิกษุณีและมีจำนวนมากที่สามารถบรรลุโสดาบันถึงพระอรหันต์
นอกจากนี้
การทำงานของพระองค์สามารถบรรลุวัตถุประสงค์
ก็ด้วยความร่วมมือร่วมใจจากบรรดาสาวกทั้งภิกษุ ภิกษุฯ อุบาสก และอุบาสิกา
แม้มีอุปสรรคบ้างก็น้อยกว่าศาสนาอื่นๆ ในอินเดีย ซึ่งพระองค์มีเวลาเพียง 45 ปี ในการเปลี่ยนความเชื่อเรื่อง พรหมลิขิต
ที่ฝังรากลึกนับพันปี มาเชื่อใน กรรมลิขิต แทน
แต่จะให้หมดไปสิ้นเชิงจึงเป็นไปไม่ได้
แต่พระองค์ก็ทำงานจนวาระสุดท้ายที่ทรงเทศนาสั่งสอนด้วยพระองค์เอง
จากนั้นเสด็จปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน 6 ตรงกับวันที่พระองค์ประสูติ และตรัสู้ นับเป็นมหัศจรรย์ที่วาระทั้ง 3 มาเกิดขึ้นในวันเดียวกัน จึงเรียกวันนี้ว่า วันวิสาขบูชา
สถานที่ที่พระองค์นิพพานคือเมืองกุสินารา บริเวณที่นิพพาน เรียกว่า กาเซีย จนบัดนี้ล่วงเวลามา 2540 ปีแล้ว
พระธรรมของพระองค์ก็ยังสถิตสถาพรอยู่ในโลก
และมีผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวตะวันตกมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะทรงสอนอย่าสงมีเหตุผล
มีอิสระในการเชื่อและปฏิบัติ มิได้บังคับให้หลงงมงาย
นับว่าพระพุทธเจ้าทรงวางรากฐานในเหล่าสาวก และพุทธ ศาสนิชนควรเจริญรอยตามพระยุคลบาทอย่างต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น